(1)
กระแสเรียก


ข้อคิดจากเซอร์ร่า

เมื่อต้นปีนี้ สมาชิกเซอร์ร่าผู้หนึ่งได้แบ่งปันความคิด ความเข้าใจของตนเรื่อง “กระแสเรียก” กับเพื่อนสมาชิกเซอร์ร่าด้วยกัน ด้วยการเขียนบทความ “กระแสเรียก” แจกจ่ายให้แก่เพื่อนสมาชิก ซึ่งต่างก็เห็นว่าเป็นบทความที่ให้ความคิดที่ดีมากเกี่ยวกับ “กระแสเรียก” และจะเป็นประโยชน์ต่อคณะเซอร์ร่าที่ทำงานเกี่ยวกับกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์และนักบวช

อย่างไรก็ตาม “กระแสเรียก” ยังเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเราคริสตชนที่เชื่อว่าที่เราแต่ละคนเกิดมา เจริญชีวิต และรับหน้าที่การงานต่างๆ นั้น ก็เพราะกระแสเรียกจากพระเป็นเจ้านั่นเอง จึงหวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับเราคริสตชนทุกคนที่มีความเชื่อด้วย คณะเซอร์ร่าจึงขอนำมาแบ่งปันผ่านทางอุดมสารฉบับเซอร์ร่านี้

มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา และเจริญชีวิตอยู่ในโลกนี้ นับว่าเป็นบุคคลที่โชคดีที่สุดที่ได้รับพระพรจากพระที่ให้ชีวิตแก่เรา ชีวิตของเรามิใช่เกิดขึ้นเฉพาะจากความรักของคุณพ่อคุณแม่ของเราเท่านั้น แต่จากความรักที่พระบิดาเจ้าประทานให้เรา โดยการสร้างของพระองค์ และนี่คือ “กระแส” แรกสุด คือ “กระแสแห่งความรัก” ที่พระบิดาเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน

“กระแสรัก” ของพระบิดาเจ้านี้ทรง “สร้างสรรค์” ทุกสิ่งที่ดีงามให้แก่มนุษยชาติ และมอบให้มนุษย์เป็นผู้ดูแลทะนุถนอม ปกป้อง รักษา สงวน เสริมสร้างสรรค์ต่อไป เพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ด้วยฉายาของพระองค์เอง และเพราะเหตุนี้เอง “กระแสรัก” ของพระบิดาเจ้าจึงนำมาซึ่ง “กระแสเรียก” ที่ “เรียก” มนุษย์ทุกคนสู่พระองค์ โดยในระหว่างทางแห่งการดำเนินชีวิตของตนบนโลกนี้นั้น มนุษย์ทุกคนมีพันธกิจที่จะประกอบ กระทำ ที่จะนำ “เงิน ตาแลนด์” ที่พระองค์ทรงมอบฝากกับเราไว้ ทำให้มีคุณค่า มีประโยชน์มากขึ้น เพื่อนำไปถวายคืนแด่พระองค์

“กระแสเรียก” นี้ ก็คือ “กระแสรัก” ที่แปลงออก แสดงออกในรูปของกิจกรรม การกระทำหน้าที่ รับผิดชอบ พันธกิจต่างๆ ที่เรามนุษย์แต่ละคนมอบแด่พระบิดาเจ้า “ตัวต่อตัว” ไม่เหมือนกัน ไม่ซ้ำกัน ไม่เลียนแบบกัน โดยปราศจากข้อเงื่อนไขใดๆ ขึ้นอยู่กับอำเภอใจน้ำใจของเราแต่ละคนที่จะสนองตอบพระองค์ ตามที่เราตระหนัก สำนึก และตามที่เราถนัด และ “ร่วมกับเพื่อนมนุษย์” เป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นคณะ เพื่อ “ต่องาน” ของพระองค์บนโลกนี้

ชีวิตนี้ช่างเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ เต็มไปด้วยอัศจรรย์มากมาย ด้วยสายตาแห่งการพิศเพ่ง ด้วยสายตาแห่งความเชื่อ เราสามารถ “เห็นพระ” ในทุกสิ่ง ในทุกแห่ง ในทุกเหตุการณ์ ในทุกช่วงเวลา และ “สิ่ง” ที่เกิดขึ้นในทุกแห่ง ทุกเหตุการณ์ ทุกเวลานั้นเกิดขึ้นด้วย / เพราะ “กระแสเรียก” ต่างๆ นานัปการของมนุษย์ทุกคน แต่ที่เป็น “เอกลักษณ์” ของแต่ละคน

เราเริ่มต้นจากที่ใกล้ตัวที่สุด คือ ตัวเราเอง ร่างกายของเราเอง ชีวิตของเรา ช่างอัศจรรย์เสียนี่กระไร

- เมื่อครบเก้าเดือนถึงกำหนดคลอดเราเกิดมาในโลกนี้
: สูติแพทย์
- ดวงตา 2 ดวง สามารถมองเห็นได้ เห็นสีแสง
: จักษุแพทย์
- สุขภาพหลังคลอดได้รับการดูแลด้วยดีตลอดมาจนเราเจริญเติบโต
: กุมารแพทย์
- เมื่อถึงเวลา เราต้องศึกษา ไปโรงเรียน
: นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์
- ชีวิตประจำวัน มีคนคอยดูแลเอาใจใส่ หุงหาอาหาร จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก ขับรถให้
: พ่อ แม่ แม่ครัว คนขับรถ คนสวน คนงาน
- วิถีชีวิตแต่ละคน เกี่ยวพันกันในสังคม มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลระบบบริหารต่างๆ
: ข้าราชการ นักการเมือง
- ด้านเศรษฐกิจ มีการผลิต มีการขาย มีการซื้อ มีการสรรหาวัตถุดิบ มีการให้บริการ การเพิ่มคุณค่าในสินค้า ในสิ่งผลิต ในการลดความเสี่ยง ในการเพิ่มคุณค่าชีวิต คุณภาพชีวิต
: พ่อค้า แม่ค้า นักเศรษฐศาสตร์ ผู้บริหาร นักธุรกิจ นายธนาคาร แรงงาน
ฯลฯ

หันไปมองดูโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลออกไป เราจะเห็นความเจริญก้าวหน้าของสังคม ของประเทศ ของโลก เราก็จะพบกระแสเรียกอีกหลายสาขา

- การพัฒนาต่างๆ ของสังคมโลก
: นักค้นคว้า นักประดิษฐ์
- การศึกษาเรื่องศาสตร์ทั้งหลาย
: นักวิทยาศาสตร์
- การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น องค์ประกอบการดำเนินชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน
: นักสังคมสงคราะห์ นักหนังสือพิมพ์ สื่อสารมวลชน ศิลปิน / นักแสดง
- การทำสัญญา ว่าความ การเจรจาต่างๆ การตัดสินความ
: ทนายความ ผู้พิพากษา
- ความปลอดภัย การรักษาความสงบของสังคม ประเทศชาติ
: ตำรวจ ทหาร
ฯลฯ

การดำเนินชีวิตตามประสาโลกแต่อย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องสร้างความสมดุลด้วยการพัฒนาด้านจิตใจด้วย เราจึงมี “กระแสเรียก” ทางธรรมอีกด้วย

- การอบรมพื้นฐานศีลธรรม
: พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ พระสงฆ์ นักบวช
- การสอนศีลธรรม การสอนคำสอน
: ครู อาจารย์ ครูคำสอน พระสงฆ์ นักบวช
- ส่วนร่วมในกิจกรรมของศาสนา ในองค์กรของศาสนาต่างๆ
: ศาสนิกชน ทุกคน สมาชิกฆราวาสแพร่ธรรม
ฯลฯ

เราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ในฐานะคริสตชนคนหนึ่ง เราก็มี “กระแสเรียก” ที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเอง แต่จะเป็นเอกลักษณ์เพียงใดก็ตาม กระแสเรียกของแต่ละคนย่อมจะต้องมีทั้ง 3 มิติ ตามที่ได้กล่าวข้างต้น คือ
1. มิติ ชีวิต ส่วนตัว (ของตัวเราเอง ความสัมพันธ์กับตัวเราเอง)
2. มิติ ชีวิต ส่วนรวม (ในครอบครัว ในสังคม ในสถานที่ทำงาน ฯลฯ ความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์)
3. มิติ ชีวิต จิต (ชีวิตวิญญาณของเรา ความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า)
และในชีวิตทั้ง 3 มิตินี้ “กระแสเรียก” ของเราแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนดำเนินชีวิตตาม “กระแสเรียก” ที่แตกต่างกันไปแต่ผสมผสานกัน

(หมายเหตุ : มีคนลองถามดูว่ากระแสเรียกที่ว่าแตกต่างกันนั้นมีมากน้อยแค่ไหน นักคำนวณท่านหนึ่งแนะแนวคำนวณจำนวนดังนี้ว่า ตามมิติชีวิตทั้ง 3 มิตินั้น แต่ละมิติยังมี 2 แกน คือ แกนแนวตั้ง (vertical) และแกนแนวนอน (horizontal) และแต่ละแกนมี 360 องศา ถ้าเราเลื่อนออกไปทีละองศา เราก็จะได้การเปลี่ยนแปลงเท่ากับผลการคูณของ 360 คูณ 360 และคำนวณเช่นนี้อีก 2 ครั้งสำหรับอีก 2 มิติ แล้วนำผลคูณทั้ง 3 มาคูณด้วยกันอีก ไม่ทราบว่ามันจะออกมาเป็นตัวเลขอะไร เพราะเหตุนี้จึงน่าอัศจรรย์ที่เห็นมนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ต่างกันไปแต่ต่างเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้สังคมโลกอยู่ด้วยกันได้ และในทางกลับกัน ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามนุษย์แต่ละคนอยู่ตามลำพังก็ไม่ได้เช่นกัน)

แต่อย่างไรก็ตาม “กระแสเรียก” ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนจะมีมากมายต่างชนิด ต่างสาขา ต่างคุณภาพกันก็ตาม จำต้องมีรากฐาน มีพื้นฐาน มีความสัมพันธ์ กับองค์พระคริสตเจ้าเสมอไป ใน

การบังเกิด (Incanation)
มรรคาศักดิ์สิทธิ์ (Passion)
การมอบตัวเอง (Eucharist)
การกลับเป็นขึ้นมา (Resurrection)

เราต้องไปเกิด ในที่ที่คนไม่รู้จักพระเป็นเจ้า เราต้องไปมีส่วนให้เขารู้จักพระองค์ เราต้องไปเพื่อให้เขาได้เกิดในพระ

เราต้องเดินมรรคาศักดิ์สิทธิ์ ตามรอยเท้าองค์พระคริสต์บนโลกนี้ เราต้องสู้อดทน ถึงแม้จะต้องถูกทรมาน ลำบากยากแค้นสักเพียงใด เราก็ต้องสู้ ต่อสู้ เพื่อเอาชนะตัวเราเอง เอาชนะอำนาจมืด เอาชนะความเลวร้าย ขจัดความอยุติธรรม ระงับการทะเลาะเบาะแว้ง ป้องกันสงคราม รักษาสันติในสังคม เราเป็นศิษย์ย่อมไม่ดีไปกว่าอาจารย์ได้ พระคริสต์ถูกทรมาน ถูกตรึงกางเขน ตายบนไม้กางเขน เราก็ต้องยอมเช่นกัน เราต้อง เดินมรรคาของเรา เช่นเดียวกับพระองค์

เราต้องมอบตัวเราเองแก่คนอื่น แก่เพื่อนมนุษย์ แก่ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่หิวกระหายหาความจริง กระหายหาแสงสว่างแห่งชีวิต เราต้องมอบตัวเราให้เป็นอาหารแก่คนอื่น มอบการดำเนินชีวิตที่ดีของเราให้เป็นอาหารแก่ชีวิตของผู้อื่น เพื่อเขาเมื่อได้รับการป้อนจากเราแล้ว เขาจะได้รับอาหารทิพย์จากพระเป็นเจ้า เพื่อชีวิตจิตอันบริบูรณ์ของเขา

เราต้องกลับใจ เราต้องลุกขึ้นจากความชั่วช้าของเรา เราต้องเปลี่ยนตัวเรา เราต้องกลับเป็นขึ้นใหม่ และด้วยการกลับใจ การกลับเป็นขึ้นมาใหม่ของเรา เราจะได้นำผู้อื่นกลับใจ และ นำผู้อื่นกลับเป็นขึ้นมาใหม่เช่นกัน สู่ชีวิตที่อบอวลด้วยจิตตารมณ์แห่งพระคริสต์ สู่ชีวิตที่เปี่ยมด้วยความรักเพื่อนมนุษย์ ชีวิตแห่งการแบ่งปัน ชีวิตที่เข้าใจกันและกัน ให้อภัยกัน ช่วยเหลือกัน โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน

และ “กระแสเรียก” ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบทั้ง 4 คุณลักษณะนี้ ก็จะก่อให้เกิด “กระแสรัก” ระหว่างเพื่อนมนุษย์ เป็นการบรรจบครบวงจรของ “กระแสรัก” จากพระเป็นเจ้า มาสู่ “กระแสเรียก” ที่เรียกมนุษย์ทุกผู้ทุกนามสู่พระองค์ สู่การมีบทบาทส่วนรวมระหว่างมนุษยชาติ และ “กระแสรัก” ระหว่าง “มนุษย์กับพระ” ตลอดไป


<= Previous || Go Top || Next =>
Back to Home Page