สาระเซอร์ร่า

(11)
คำพิพากษา
ประสบการณ์ของพระสงฆ์องค์หนึ่ง

คุณพ่อสตีเวน ไชเออร์ ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์คาทอลิกในปี ค.ศ.1973 คุณพ่อได้รับมอบหมายให้ดูแลวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐแคนซัส ซึ่งมีชื่อว่า วัดพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์

วันหนึ่งในปี ค.ศ.1985 คุณพ่อไชเออร์ได้เดินทางไปเยี่ยมพระสงฆ์องค์หนึ่งที่เมืองวิชิต้า ซึ่งอยู่ห่างออกไป 86 ไมล์ ขณะเดินทางกลับ ท่านขับรถอยู่บนถนนสาย 96 รถของท่านได้ประสบอุบัติเหตุ ประสานงากับรถกระบะ ไม่มีใครเสียชีวิต แต่ตัวคุณพ่อบาดเจ็บสาหัส ท่านถูกเหวี่ยงออกนอกรถ สมองด้านขวาถูกเฉือนหลุดออก เซลล์สมองบางส่วนถูกทำลาย กระดูกคอหัก ท่านจำได้ว่าพยายามสวดบทวันทามารีอา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลา

คุณพ่อไชเออร์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพสาหัสปางตาย แพทย์คาดว่าโอกาสรอดชีวิตมีเพียง 15% ในคืนนั้นหลายเขตวัดที่ทราบเรื่องอุบัติเหตุ รวมทั้งวัดของท่านในแคนซัส ได้เปิดประตูวัดตลอด 24 ชั่วโมง ให้สัตบุรุษเข้าไปภาวนาและสวดสายประคำ รวมทั้งนิกายเมโธดิสท์วัดหนึ่งด้วย

หลังจากออกจากโรงพยาบาลในเดือนธันวาคม อาการของคุณพ่อดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่านใช้เวลาพักฟื้นที่บ้านของท่านจนถึงเดือนเมษายน และกลับไปรับหน้าที่เดิมในเดือนพฤษภาคม

วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังถวายบูชามิสซาในวัดของท่าน ท่านได้อ่านพระวรสารของนักบุญลูกา เรื่องต้นมะเดื่อที่ปลูกอยู่ในสวนองุ่น แต่ไม่มีผล เมื่อเจ้าของสวนสั่งให้คนดูแลสวนโค่นต้นมะเดื่อนี้ คนดูแลได้ขอผัดผ่อนโดยสัญญาจะพรวนดินใส่ปุ๋ย ถ้ามันยังไม่ให้ผลจึงค่อยโค่นทิ้ง ขณะที่ท่านกำลังอ่านพระวรสารนี้ หน้าหนังสือได้เรืองแสงขึ้น ตัวหนังสือขยายใหญ่ ท่านถวายมิสซาต่อจนจบ แล้วจึงกลับไปที่พัก และในบ่ายวันเดียวกัน ท่านก็ถูกนำไปอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเยซูคริสตเจ้า

คุณพ่อไม่ทราบว่าประสบการณ์ของท่านดำเนินไปนานเท่าไร ท่านได้ยินแต่เพียงเสียงซึ่งกล่าวโทษความผิดที่ท่านได้กระทำมาตลอดทั้งชีวิต ซึ่งท่านได้แต่ยอมรับ ท่านเคยคิดว่า วันใดที่ท่านต้องถูกพิพากษา ท่านจะสามารถหาเหตุผลมาหักล้างความผิดของท่านได้ ท่านอาจทูลพระเป็นเจ้าว่าท่านรู้สึกไม่ค่อยสบายในวันนั้น หรือใครบางคนกำลังพยายามกดดันให้ท่านทำสิ่งนั้นๆ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านกำลังเผชิญหน้ากับความจริงและเบื้องหน้าความจริงย่อมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ท้ายที่สุด คำพูดที่ท่านได้ยินคือ "คำพิพากษาของเราคือ นรก" ท่านรู้ตัวดีว่านั่นคือสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ จากนั้น ท่านได้ยินเสียงของสตรีเอ่ยขึ้นว่า "ลูกแม่ ลูกจะไว้ชีวิตเขา วิญญาณอันเป็นนิรันดร์ของเขาได้ไหม?"

พระเยซูตรัสว่า...พระมารดา เขาเป็นพระสงฆ์มา 12 ปีเพื่อตนเอง มิใช่เพื่อลูก ให้เขาได้รับโทษที่เขาสมควรเถิด...

พระนางตรัสต่อไปว่า...แต่เราให้พระหรรษทานพิเศษ และพละกำลังแก่เขา แล้วคอยดูผล ถ้าไม่เกิดผล ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด...

หลังจากทรงเงียบอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ พระเยซูตรัสตอบว่า "พระมารดา เขาเป็นของท่าน"

และคุณพ่อสตีเวน ไชเออร์ ก็ถวายตัวเป็นของแม่พระนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ท่านเองก็ยอมรับว่า ท่านไม่เคยมีความศรัทธาต่อแม่พระเป็นพิเศษมาก่อนเลย

หลังอุบัติเหตุ คุณพ่อจึงสำนึกว่า โลกนี้มิใช่บ้านของเรา สิ่งแรกที่ควรทำคือเอาวิญญาณของตนเองให้รอด รวมทั้งช่วยเหลือวิญญาณอื่นๆ ให้รอดด้วย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์อยู่แล้ว สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดคือพระเป็นเจ้า เพราะเมื่อเราตายลง เราต้องไปอยู่เบื้องหน้าพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น

อีกประการหนึ่งคือ บทบาทของแม่พระ เมื่อพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงมอบศิษย์ที่พระองค์รักให้แก่พระมารดา ซึ่งหมายความว่าทรงมอบพระศาสนจักรทั้งมวลให้พระนางดูแลด้วย พระนางทรงรับหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ และจริงจัง ประสบการณ์ของคุณพ่อ คือพระเมตตาของพระเป็นเจ้า และคุณพ่อได้รับพระเมตตานี้ผ่านการแทรกแซงช่วยเหลือของพระแม่นั่นเอง

คุณพ่อไชเออร์ ได้เรียนรู้ความจริงข้อหนึ่งคือ ทุกพระบุคคลแห่งพระตรีเอกภาพ ทั้งพระบิดา พระบุตร และพระจิต จะไม่ทรงปฏิเสธพระนางในสิ่งใดๆ เลย เมื่อถูกถามถึงความหมายของ การเป็นพระสงฆ์เพื่อตนเอง ของท่าน ท่านอธิบายว่า เป็นทัศนคติที่ท่านมีต่อศักดิ์ศรีของสังฆภาพ (prestige of priesthood) และการพยายามทำตัวให้เทียมหน้าเทียมตากับเพื่อนพระสงฆ์ ท่านทำงานในแต่ละวันเพื่อให้คนทั่วไปนิยมชมชอบเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อประชากรของพระเป็นเจ้า พระสงฆ์ที่ท่านรู้จักต่างก็ไม่พูดคุยหรือปรึกษาถึงปัญหาฝ่ายวิญญาณ ท่านยกตัวอย่างว่า เมื่อพระสงฆ์ไปเยี่ยมเยียนกัน เขาจะชวนกันดื่ม และคุยเรื่องกีฬา แต่ในส่วนลึกของจิตใจ ท่านทราบว่าท่านไม่ได้ทำสิ่งอันสมควร ท่านเพียงแต่สวมบทพระสงฆ์เท่านั้น ท่านไม่ได้...เป็น...พระสงฆ์

คุณพ่อไชเออร์เล่าว่า แม้ว่าท่านไม่เคยมีปัญหาในการถวายบูชามิสซาหรือฟังมิสซา แต่ท่านหลีกเลี่ยงกางเขนมาโดยตลอด ท่านไม่ยอมรับความทุกข์ ท่านเพิ่งจะสำนึกได้ว่า หากเราวิ่งหนีกางเขน เราจะพบว่ามีกางเขนอันใหญ่กว่ารอเราอยู่เบื้องหน้าเสมอ ชีวิตในสามเณราลัยของท่านไม่ได้เตรียมให้ท่านรับชีวิตแห่งความทุกข์เหมือนพระสงฆ์ในอดีต พระสงฆ์ควรยอมรับชีวิตที่เสียสละ ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ควรเป็นพระสงฆ์เสียเลย

สาเหตุหนึ่งที่ท่านได้รับคำพิพากษาหนักเช่นนั้น คือ ท่านได้ละเมิดพระบัญญัติด้วย แม้ว่าท่านจะสารภาพบาปเป็นประจำ แต่ก็ทำไปอย่างไม่ถูกต้อง การสารภาพบาปที่ถูกต้อง ต้องประกอบไปด้วยการสำนึกผิดด้วยหัวใจ และความตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย คุณพ่อเปรียบการสารภาพบาปของท่านว่าเหมือนการซื้อประกันอัคคีภัยเท่านั้น

คุณพ่อไชเออร์ ได้ให้คำแนะนำแก่เพื่อนพระสงฆ์ว่า การเป็นพระสงฆ์รับใช้พระเยซูคริสตเจ้านั้น ต้องสวดภาวนาเสมอ เมื่อใดที่การสวดภาวนาจบสิ้นลง สังฆภาพก็จบลงด้วย พระสงฆ์ควรกล้าพูดในสิ่งที่ควรพูด แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ไม่เป็นที่นิยมของสัตบุรุษก็ตาม พระคริสตเจ้าไม่เคยทรงสัญญาว่า ผู้ที่ติดตามพระองค์จะเป็นที่นิยมของคนทั่วไป พระองค์ทรงสัญญาจะให้แต่กางเขน แต่กางเขนนั้นจะเบาพอ จะแบกได้ เพราะพระองค์ประทับอยู่กับเรา พร้อมกับพระมารดาของพระองค์

สิ่งสำคัญที่พระสงฆ์จะขาดเสียมิได้คือ การสวดภาวนา ศีลศักดิ์สิทธิ์ และแม่พระ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ท่านมองข้ามไปคือเวลา ท่านเคยคิดว่าท่านยังมีเวลากลับใจ แต่พระเยซูเจ้าทรงบอกท่านว่า "สตีเวน เวลาหมดแล้ว"

คุณพ่อไชเออร์พูดถึงการสารภาพบาปว่าเป็นศีลแห่งการกลับคืนดี ที่พระศาสนจักรเสนอให้แก่สัตบุรุษ ทุกคนต้องยึดถือพระบัญญัติ และเมื่อใดทำบาปก็ต้องสารภาพบาป

ครั้งหนึ่งท่านฟังการสารภาพบาป ท่านรู้สึกเศร้าใจที่สุดในชีวิต เมื่อคนที่มาสารภาพบาปเพื่อเตรียมรับเทศกาลพระคริสตสมภพบอกท่านว่าพวกเขาไม่มีบาป หลังจากไม่ได้สารภาพบาปมานานถึง 8 ปีบ้าง 14 ปีบ้าง

คนทั่วไปหลงเชื่อนักจิตวิทยาที่พร่ำสอนว่า เราไม่ควรรู้สึกผิด เราพลาดเพราะพ่อแม่ หรือ สภาพแวดล้อม ฯลฯ เมื่อเราไม่รู้สึกผิด เราก็ไม่คิดว่าเราทำบาป และย่อมไม่สารภาพบาปนั้นๆ และนั้นคือสาเหตุของความเสื่อมของพระศาสนจักรในสหรัฐอเมริกา

(ถอดความจากเทปบันทึกเสียงการสัมภาษณ์คุณพ่อสตีเวน ไชเออร์ (Steven Scheier) ดำเนินรายการโดย คุณแม่แองเจลิกา (Mother Angelica) ทางสถานี EWTN สหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในสารวัดซางตาครู้ส ฉบับวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.2005)

อุดมสาร 24 12-18 มิ.ย. 05
(Upload 13-9-06)


<= Previous || Go Top || Next =>
Back to Home Page