สาระเซอร์ร่า

(4)
กระแสเรียก : ภาวนาเป็นนิจ
Vocation of unceasing prayer


มนุษย์เป็นสิ่งสร้างประเสริฐสุดของพระเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่ง แม้ในท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ชีวิตมนุษย์มีคุณลักษณะ มีเอกลักษณ์พิเศษที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ สิ่งสร้างอื่นๆ ไม่มี นั่นคือ มนุษย์มี "จิตของพระเจ้า" (The Spirit) ในชีวิตของเรา มนุษย์มีวิญญาณ (soul) มีอำเภอใจ (will) มีความคิดอ่าน สติปัญญา ความชาญฉลาด และความรัก ที่จะมอบให้แก่พระเจ้าและแก่เพื่อนพี่น้องมนุษย์ด้วยกัน

ด้วยสายสัมพันธ์ (relations) พิเศษนี้ พระเจ้าจึงรักมนุษย์ทุกคนเป็นคนๆ ไป (individually) พระเจ้ารู้จักเราทุกคนเป็นคนๆ ไป (as an individual) พระองค์เห็น "ต้นไม้" (tree หมายถึง "ตัวเรา") ไม่ใช่เห็นเฉพาะ "ป่า" (forest หมายถึง มนุษยชาติ) และด้วยความสัมพันธ์ ความรัก ที่พระองค์เป็นผู้ริเริ่มนี้ "มนุษย์เราแต่ละคนก็ถูกเรียกให้ฟังพระองค์ในก้นบึ้งแห่งมโนธรรม และการภาวนาของเรา เพื่อเราจะได้ดู ไตร่ตรอง พิจารณา แยกแยะ และตัดสินใจว่า เราจะตอบความสัมพันธ์ ความรักนี้ของพระองค์อย่างเป็นจริงเป็นจังอย่างไร?" (thus one is beckoned to listen to God in the depths of prayer and conscience in order to discern how one ought to respond concretely to that love.)

"การเรียก" (vocation) ของพระเจ้านี้ พระองค์เรียกเราทั้งทาง "สมอง" (head) และทาง "หัวใจ" (heart) การเรียกทางสมองหมายถึง การใช้วิจารณญาณ การคิดอ่าน ความชาญฉลาดที่พระองค์มอบให้โดยทางพระจิตเจ้าเป็นความสัมพันธ์ ความรัก ที่มนุษย์ใช้สมอง ใช้เหตุผล (reason) เป็นพื้นฐาน ส่วนการเรียกทางหัวใจ เป็นการเรียกสู่ชีวิตแห่งธรรมล้ำลึก (mystical life) สู่ชีวิตจิต (life of the spirit) ชีวิตแห่งธรรมล้ำลึก และชีวิตจิตนี้ประกอบด้วยการภาวนา และการกระทำผสมผสานเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน ในชีวิตคริสตชนเรา นอกจากการรำพึงภาวนาส่วนตัวหรือในพิธีกรรมสาธารณะแล้ว ยังมีช่วงเวลาบ่อยครั้งที่เราต้องพึ่งการพิจารณาแยกแยะ ตัดสินใจ (discernment) และนี่คือ "การเรียกทางหัวใจ" (the mystical lovelove of God) เพื่อช่วยเสริม "การเรียกทางสมอง" (the ethical lovelove of others.)

การดำเนินชีวิตของคริสตชนด้วยการตอบรับการเรียกทั้งสองด้านอย่างผสมผสานเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกันนี้ (affective Connaturality) เป็นการตอบรับชีวิตที่รู้ถึง "ความดี" (the good) "ความสวยงาม" (the beautiful) และ "ความจริง" (the true) บนเหตุผลของการดำเนินชีวิตและบนความมุ่งมั่นในชีวิตแห่งคุณธรรม (virtuous commitment) และด้วยชีวิตที่ "ใช้ทั้งสมองและหัวใจ" นี้ การกระทำกิจกรรม การปฏิบัติตนของคริสตชนเราก็จะบริบูรณ์ขึ้นเต็มไปด้วย ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และสภาพชีวิตเช่นนี้ควรเป็น "คุณภาพแห่งชีวิต" (quality of life) ที่เป็นพื้นฐานธรรมดาที่สุดของเราคริสตชนทุกคน อย่าไปคิดว่านี่เป็นสถานภาพคุณภาพพิเศษ ไม่ใช่เลย นี่เป็นคุณสมบัติ คุณลักษณะชีวิตธรรมดาๆ ที่เราทุกคนควร "เป็น" (being) ทุกวัน ที่จะนำ "พระราชัยพระเจ้า" (the kingdom of God) สู่สังคมที่เราอยู่...แต่เมื่อใดที่ "การตอบรับด้วยหัวใจ" (discernment of spirit) บกพร่องไป หมายถึงหัวใจเราหมดความรู้สึก ตายด้าน หมดความรัก การกระทำ การปฏิบัติของเราออกจากทางสมองอย่างเดียว ก็จะเป็นการกระทำกิจการ กิจกรรมแบบชาวโลก แบบเห็นแก่ตัว แบบเอาเปรียบขาดความยุติธรรม ขาดความรัก เอื้ออารีต่อกันอย่างที่เป็นอยู่โดยทั่วไปในสังคมโลกปัจจุบันแล้วจะทำอย่างไรจึงจะให้ "หัวใจ" อยู่คู่กับ "สมอง" ของเราโดยตลอดได้?

คุณพ่อคาร์ล ราห์เนอร์ เอส.เจ. ได้กล่าวแนะนำไว้ว่า "ความรักต่อพระเยซูคริสต์เป็นพื้นฐานแห่งคุณธรรมที่จะเข้าใจถึง "การภาวนาของคริสตชน" (Christian prayer) ความรักต่อพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นความรักต่อใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์ คุณลักษณะพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของความรักต่อพระเยซูคริสต์ก็คือ ความรักที่เป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข (unconditional) เฉพาะเจาะจง แน่นอน เด่นชัด (definitive) ปราศจากความกลัว (ความกลัวที่กลัวว่าจะรักพระองค์ไม่ถึงระดับที่พระองค์คาดหวังไว้ void of any fear of failure to measure up to the beloved's (Jesus') expectations) ที่เป็นจริงเช่นนี้ได้ก็เพราะความรักของเราต่อพระเยซูคริสต์นั้นจะได้รับพระพรเสริมพลังความรัก (bolstered) จากพระเจ้าแห่งความรักซื่อสัตย์มั่นคง (God of faithfulness) โดยไม่มีเงื่อนไขแต่ประการใด (his own unconditionality) ด้วยคุณลักษณะเช่นนี้ ความรักต่อพระเยซูคริสต์จะเป็นความรักแห่งชีวิต จากหัวใจ ผู้ที่ภาวนาจากหัวใจก็คือผู้ที่เต็มเปี่ยมด้วย อิสรภาพและความรู้ (The heart is to be understood as the Fullness of the person in his or her freedom and knowing.)"

ด้วยคำอธิบายง่ายๆ ที่คุณพ่อคาร์ล ราห์เนอร์ ได้กล่าวมานี้ คงทำให้เราคริสตชนสามารถฝึกปฏิบัติตาม "กระแสเรียกแห่งการภาวนาเป็นนิจ" (vocation of unceasing prayer) ได้อย่างไม่ยากลำบากนักในชีวิตประจำวันของเรา การฝึกปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคริสตชนเราให้ดีขึ้น ให้สวยงามขึ้น ให้จริงขึ้นความจริง ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของเรามี "เครื่องหมายแห่งกาลเวลา" (sign of the time) มี "เสียงเรียก" (vocation) มีภาพสะท้อน มีสวนเกทเสมนี มีหนทางกัลวารีโอ มีกางเขน ฯลฯ ที่เรียกร้อง (evoke) ปลุกให้ตื่น (awake) ตอกลงให้ลึกและเสริมให้เข้มแข็ง (strengthen) ซึ่งประสบการณ์ส่วนตัวของคริสตชนกับพระตรีเอกภาพในปรากฏการณ์ในเหตุการณ์นั้นๆ ประสบการณ์กับพระเจ้านี้จะอยู่กับเราเสมอ จะคอยกระตุ้น จะคอยเตือน จะคอย "เฝ้าตาม" เรา จนถึงแก่นชีวิตของเรา (haunts every person's core) และนี่คือชีวิตคริสตชนที่แท้จริงที่ตอบรับ "การเรียกของพระเจ้า" ด้วย "สมอง" (the ettncallove of other) และด้วย"หัวใจ" (the mysticallove of God) เป็นชีวิตแห่งธรรมล้ำลึก ที่นำความอัศจรรย์ (miracles) ความมหัศจรรย์ใจ (awes) เดินเข้ามาในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดยั้งทำให้เราสำนึกถึงพระฤทธานุภาพ และพระญาณสอดส่องของพระเจ้าต่อโลกมนุษย์ ต่อมนุษยชาติ ทำให้เรามหัศจรรย์ใจในความรัก พระพร พระหรรษทานต่างๆ ท่อธารแห่งชีวิตที่มอบให้แก่เราทุกคน เป็นส่วนตัวและส่วนรวม และสุดท้ายทำให้เราสรรเสริญ ขอบพระคุณพระองค์ ในเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ให้เรามีส่วนร่วมในแผนการสร้างของพระองค์ต่อไป (cocreation)

ในโลกสังคมมนุษย์จากประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันและต่อๆ ไปในอนาคต ความสำนึก/ ตระหนัก ด้วย "สมอง" และ "หัวใจ" นี้ ในความเห็นของคุณพ่อคาร์ล ราห์เนอร์ เป็นคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ (virtue of being) ซึ่งจะมีผลดีต่อคริสตชนผู้มีความเชื่อ ผู้ที่จะตอบสนองพระเจ้าได้อย่างอิสระ เสรี การภาวนาเป็นนิจ ก็คือการเป็นบุคคลผู้เชื่อคนนี้ที่พระเจ้าสามารถสัมพันธ์ได้ (to pray is to become someone whom God can affect) การถูกเชื่อมสัมพันธ์นี้ได้ (being affected) จึงเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการตอบรับที่มีผลและความรักเป็นจุดสุดยอดของการตอบรับที่เป็นผลนี้ (love is above all essentially an affective response) การมีประสบการณ์สัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นพระพรเป็นพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานให้ พระพร/ พระหรรษทานนี้เป็นของขวัญ (gift) แก่คุณสมบัติคุณภาพของคน โดยทำให้บุคคลผู้นั้นสามารถเป็นคนครบบริบูรณ์ได้ตามคุณลักษณะพระพรแห่งกระแสเรียกชีวิตของเขา นั่นคือเป็น "ตัวจริง" (true self) ของชีวิตที่พระเจ้าต้องการให้เขาเป็น (Grace is a gift affecting the human person by actualizing the person's nature) การปฏิบัติตนเยี่ยงนี้จนเป็นนิสัย (habits) จะเป็นคุณธรรมที่จะช่วยให้กิจการ การกระทำ การปฏิบัติตนในความรู้ และในความรัก "ดีขึ้นสวยงามขึ้น และจริงขึ้น" (better, more beautiful, and truer.)

เนื้อหาสาระจากบทความ karl Rahner :Prayer and Ethics โดย คุณพ่อ James keating, Associate Professor of Moral Theology at the Pontifical College of Josephinum School of Theology in Columbus, Ohio, U.S.A.

ปัจฉิมลิขิต
Quotations on Inner Life

1.Everyone should have a bit of the "monk" within, manifest in developing an interior life, a life of contemplation in a world of action. This inner "monk" is deeply rooted in our ancestral memories, those found in both Western and Eastern cultures where monasticism, though at times unappreciated and frequently marginalized, has thrived. In the East, these memories originate in Buddhism, Sufi mysticism and Christian Orthodoxy.

ในชีวิตของเราแต่ละคน มีส่วนของชีวิตฤาษี (monk) ซ่อนอยู่ด้วย ชีวิตฤาษีนี้ก็คือ ความหิวกระหาย/ การแสวงหาชีวิตจิตภาวนาซึ่งพยายาม "หาเนื้อที่" (space) และช่วงชิง "เวลา" (time) ในชีวิตของเราที่เต็มไปด้วยตาราง "กิจกรรม" และเวลานัดหมาย (appointment) ... ฤาษี ภายในจิตวิญญาณเรานั้นฝังรากตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จากบรรพบุรุษของเรา ทั้งในวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก (ศาสนาพุทธ ซูฟี (Sufi) และคริสต์ออร์โธดอกซ์) (St.Gregory the Great)

2. We must face the fact (however) that the mere thought of contemplation is one which deeply troubles the person who takes it seriously. It is so contrary to the modern way of life, so apparently alien, so seemingly impossible, that the modern man (or woman) who even considers it finds, at first, that his (or her) whole being rebels against it.

เรา (คริสตชน) ต้องพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า การที่จะเข้าสู่ชีวิตจิตภาวนานั้น เราต้องใช้ความพยายาม ความมุมานะ และบ่อยครั้งทำให้เราเดือดร้อนด้วย เพราะชีวิตจิตภาวนานั้นมันตรงกันข้ามกับวิถีชีวิตทางโลก เป็นชีวิตที่แตกต่างกันมาก ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่เรามนุษย์ในโลกสมัยใหม่จะเจริญรอยตามได้แม้เพียงในความคิด ความตั้งใจและอย่าประหลาดใจที่ว่าร่างกายของเรามักจะขัดขวางความตั้งใจนี้ (การเข้าสู่ชีวิตจิตภาวนา)

(Thomas Merton n "Honorable Reader :Reflections on My Work"; Crossroad; :Y 1991)

3.Everyone is "called to a deep interior life, perhaps even to mystical prayer, and to pass the fruits of your contemplation on to others. If you cannot do so by word, then by example.

ทุกคนถูกเรียกสู่ชีวิตจิตภาวนา และบางคนสู่การภาวนาลึกซึ้งสู่ธรรมล้ำลึก (mystical prayer) และนำผลดี จากการภาวนานี้สู่ผู้อื่น ถ้าท่านใดไม่สามารถทำด้วยคำพูดได้ก็สามารถทำได้ด้วยการเป็นตัวอย่าง

(Thomas Merton n "The Seven Storey Mountain"; Harcout Brace Jovanovich, San Diego)

อุดมสาร ฉบับที่ 26 : 26 มิ.ย.-2 ก.ค. 2548