สาระเซอร์ร่า

(7)
แปลงสังคมมนุษย์ให้เป็นอาณาจักรพระเจ้า:

กระแสเรียกการกลับคืนชีพ


แปลงสังคมมนุษย์ให้เป็นอาณาจักรพระเจ้า: กระแสเรียกการกลับคืนชีพ

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มนุษย์โชคดีที่มีบุคคลที่เป็นนักปราชญ์ นักคิด นักพรต อาจารย์ทรงคุณธรรมความดี รวมทั้งผู้ทรงฤทธิ์ สามารถทำอัศจรรย์ต่างๆ ได้ด้วย ในจำนวนนี้รวมทั้งพระเยซูเจ้าด้วย แต่เรามนุษย์สามารถแยก พระเยซูเจ้าออกอย่างเด่นชัดเหนือคนอื่น ในพระองค์เป็นพระบุคคลผู้มีเอกลักษณ์พิเศษสุดเหนือคนอื่นทั้งหมด ก็เพราะการกลับคืนชีพของพระองค์

การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าเป็นเครื่องพิสูจน์ที่เด็ดขาด ที่ไม่มีอะไรเป็นที่สงสัย ถึงสถานภาพพิเศษของพระองค์ ชีวิตทั้งครบของพระคริสต์ การสั่งสอนของพระองค์ อัศจรรย์ของพระองค์ การถูกตรึงกางเขนของพระองค์ การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระองค์ การส่งพระจิตของพระองค์ การกลับมาอีกครั้งในวันสุดท้ายของพระองค์ ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นของแท้ เป็นของจริง ด้วยการกลับคืนชีพของพระองค์

"การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสต์เป็นการ "ประทับตรา" (stamped) ยืนยันว่าชีวิตของพระองค์บนโลกนี้ สอดคล้องตามพระญาณสอดส่องของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ด้วยความตายอย่างไร้เกียรติบนกางเขน แต่การสิ้นพระชนม์เช่นนี้เป็นการยืนยันว่า เหตุทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำ ที่เกิดกับพระองค์เป็นเหตุของพระเจ้าเอง เพราะเหตุนี้การที่มนุษย์จะตัดสินใจตนเองว่าจะอยู่ข้างพระองค์หรือต่อต้านพระองค์ (พระเยซูคริสต์) ก็เป็นการตัดสินใจต่อพระเจ้าเองด้วยการที่พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนและกลับคืนชีพ เป็นการที่พระเจ้ามอบคำมั่นสุดท้ายของพระองค์แก่โลก พระองค์ (พระเจ้า) ให้คำตอบสุดท้ายแก่คำถามพื้นฐานสุดๆ ของชีวิตมนุษย์ รวมทั้งคำถามที่เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานและความตาย"
Fr.Jacques Dupuis SJ

การกลับคืนชีพของพระคริสต์ เป็นจุดรวมจุดศูนย์กลางของข่าวดี ถ้าพระเยซูคริสต์
ไม่ได้กลับคืนชีพจากผู้ตาย พระองค์ก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ผู้ทรงคุณธรรมความดีคนอื่นๆ ในโลก แต่การกลับคืนชีพของพระองค์เป็นการพิสูจน์พระเทวภาพของพระองค์ และคำสั่งสอนทั้งหมดของพระองค์ได้รับการยืนยันถึงความถูกต้อง ถึงความจริง ก็ด้วยการกลับคืนชีพนี้

ความจริงข้อนี้เป็นสิ่งท้าทายประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและสังคมของมนุษย์ว่า มนุษย์จะสามารถเข้าใจ เห็นความจริงถึงหลักการที่พระเยซูเจ้าได้สั่งสอน ความเข้าใจ การเข้าถึงความจริงนี้จะนำเราข้ามอุปสรรค ความโน้มเอียงที่จะดูหมิ่นศาสนาอื่น หรือที่จะถือว่าทุกศาสนาเหมือนกันหมด ความเข้าใจถึงความจริงข้อนี้เป็นคุณสมบัติ พื้นฐานของคริสตศาสนาที่มีความหมายต่อทุกคน
จาก SocioPolitical Analysis of the Phenomenon of Fundamentalism โดย คุณพ่อ S.M.Michael SVD. SEDOSSept./ Oct. 2004

มีข้อคิดเห็นและคำถามพื้นๆ จากพวกเรากันเอง (มนุษย์คนธรรมดาๆ) ว่า เมื่อเรา (คนมนุษย์) ได้รู้สำนึกตระหนักถึงคุณค่า ถึงอัศจรรย์ต่างๆ ในโลก นอกโลก ในจักรวาล ในตัวเราเอง ในธรรมชาติต่างๆ ที่น่ามหัศจรรย์ใจถึงขนาดนี้แล้ว... แล้วมาคิดว่าชีวิตของมนุษย์เรานี้เมื่อถึงเวลาตาย ถึงเวลาจากโลกนี้ไปแล้ว...แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไปหลังความตายของเรา อยู่ดีๆ เมื่อเราตายไป ทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ที่เกี่ยวกับเราก็ถึงจุดจบ ถึงจุดสูญหายสลายไปโดยสิ้นเชิง... ถ้าเป็นเช่นนี้จริงแล้ว ชีวิตมนุษย์ของเราแต่ละคนก็พลอยดูน่าสงสาร ที่เราสู้อุตส่าห์มีชีวิตดำเนินชีวิตด้วยดี นับเป็นเวลานานหลายๆ สิบปี (60-70-80-90 ปี) แล้ว ก็มีเพียงแค่นี้เองบนโลก...

ดูเหมือนจะไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรมต่อชีวิตที่ประเสริฐสุดบนโลกนี้... ด้วยเหตุผลในมุมกลับของพวกเราดังกล่าวข้างต้น เราก็พอจะตระหนัก ด้วยสามัญสำนึกว่า หลังความตายของเรานั้นจะต้องมีชีวิตหน้าแน่ๆ และ หลังการตายของเรานั้นจะมีการกลับคืนชีพแน่ๆ

ด้วยความจริงที่ได้กล่าวข้างต้น เราคริสตชนจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรามีชีวิตหน้าที่นิรันดร เพราะฉะนั้นหลังความตายของเราจะมีการกลับคืนชีพอย่างแน่นอน.. ชีวิตของมนุษย์เราเปรียบเสมือน โยโย (yoyo) ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์ "ทรงเล่น โยโย" (คือชีวิตของเรา) พระองค์ดีดลูก โยโย ให้ห่างจากพระองค์แต่มีเส้นเชือกผูกอยู่กับแกนกลางของ โยโย เมื่อ โยโย หมุนสุดปลายเส้นเชือก โยโย นั้นก็จะหมุนตามเส้นเชือกกลับสู่พระหัตถ์พระองค์...นี่คือปลายชีวิตของเรา

...แต่ในแต่ละวันของชีวิตของเรา เราก็มีการกลับคืนชีพอีกแบบหนึ่งโดยเรา ไม่ต้องตายก่อน นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดกับชีวิตของเรา ถ้าเหตุการณ์นั้นดีงาม เราก็มักมีคำพูดว่า "เราได้เกิดแล้ว" ซึ่งหมายความว่าเราประสบผลสำเร็จ ประสบผลดี และผลดีนี้จะอยู่กับตัวเรายืนยาวต่อไป สนับสนุนค้ำจุนเรา ทำให้เราเป็นที่ยอมรับ มีชื่อเสียงมีตัวมีตน มีความหมายกับคนอื่น จึงใช้คำว่า "เราได้เกิด"...แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ไม่ดีเป็นเหตุการณ์ล้มเหลว เป็นเหตุการณ์ ที่นำความยุ่งยาก ทุกข์ทรมานของชีวิต เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ "เราตาย" เป็นเหตุการณ์ที่ "ฝังเราทั้งเป็น" และในความจริงของชีวิตเหตุการณ์ที่ไม่ดีเช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นกับเราบ่อยครั้งมากกว่าเหตุการณ์ดีเสียด้วยซ้ำไป... ชีวิตของเราคงย่ำแย่แน่ๆ ถ้าหากเราจะต้องตายแล้วตายอีกอย่างไม่หยุดหย่อนแทบทุกวัน

พระเยซูคริสตเจ้าทรงทำอัศจรรย์ให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพ 3 คน คือ ลูกสาวไยรัส ในบ้านของผู้ตาย (ลก 8n4056/ มธ 9:1826/ มก 5:41)
ลูกชายของหญิงม่ายชาวนาอิมขณะนำไปฝังท่ามกลางประชาชน ในที่สาธารณะ (ลก 7:11-17)
ลาซารัส พี่ชายของมาร์ธา และมารีอาออกจากถ้ำฝังศพ (ยน 11:144)
นักบุญเอากุสติน ให้ความเห็นว่า ความตายของทั้งสามคนนี้เป็นรูปแบบของ ความตายในบาป 3 ชนิด
ความตายในบาปส่วนตัวที่รู้เฉพาะตัวเอง (secret sin)
ความตายในบาปที่เปิดเผยต่อคนอื่น (public sin) และ ความตายในบาปที่ติดเป็นนิสัย (habitual sin)
และเป็นองค์พระคริสตเจ้าเองที่ทรงปลุกสามคนนี้จากความตาย เปรียบเสมือนนำเราออกจากบาปต่างๆ ทั้งสามประเภทนี้โดยการคืนชีวิตให้ชีวิตวิญญาณของเราโดยทางศีลอภัยบาป
จากบาปส่วนตัว (secret sin) lสัญลักษณ์การคืนชีพแก่ลูกสาวของไยรัส
จากบาปสาธารณะ (public sin) lสัญลักษณ์การคืนชีพแก่ลูกชายของหญิงม่ายชาวนาอิม
จากบาปที่ติดเป็นนิสัย (habitual sin) lสัญลักษณ์การคืนชีพแก่ลาซารัส

อัศจรรย์ทั้งสามของพระเยซูคริสต์แสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญเดียวกันว่าเรามีการ "ตื่นขึ้น" จากความตายทุกวันเช่นกัน หมายความว่า ในเหตุการณ์ไม่ดี ในความผิดหวัง ในความล้มเหลว ในความไม่พึงพอใจ ในความทุกข์ยากลำบากของชีวิต ในความอยุติธรรม ในความรุนแรงของการต่อต้าน ในความหมดอาลัยตายอยาก ในความหมดหวัง ในความผิดพลาด ในการกระทำไม่ดีของเราเอง เรามี การ "กลับคืนชีพ" ขึ้นใหม่เสมอ เหมือนลูกสาวไยรัส ลูกชายหญิงชาวนาอิม และลาซารัส...นั่นคือการปล่อยงวางสิ่งไม่ดีงามต่างๆ เหล่านั้นไว้ ไม่นำมาผูกอาลัยเศร้าโศกหรือผูกอาฆาตแก้แค้น เราปล่อยมันไป ไม่เก็บไว้เป็นขยะไว้ในสมองในใจของเรา สิ่งเดียวที่เราจำและเก็บไว้ก็คือประสบการณ์ เพื่อเป็นบทเรียนของเราให้ชาญฉลาดมากขึ้น เพื่อป้องกันหรือถ้าป้องกันไม่ได้ในอนาคต ก็เพื่อจะรู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไรเมื่อกลับมาหาเราใหม่...และนี่คือ "การกลับคืนชีพ" นับแต่บนโลกนี้

กลับคืนชีพจากบาปส่วนตัว จากบาปสาธารณะ และจากบาปที่ติดเป็นนิสัย
จาก ความไม่ดี สู่ ความดี
จาก ความน่าเกลียด สู่ ความสวยงาม
จาก ความสกปรก สู่ ความสะอาด
จาก การแก่งแย่ง สู่ การแบ่งปัน
จาก การเอารัดเอาเปรียบ สู่ ความยุติธรรม
จาก ความไม่แยแส สู่ ความช่วยเหลือ
จาก การละทิ้งไม่สนใจ สู่ ความเอาใจใส่
จาก ความเกลียดชัง สู่ ความรัก

"...เราเฝ้าคอยพระผู้ไถ่จากแดนนี้ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนรูปร่างอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันรุ่งโรจน์ของพระองค์" (ฟิลิปปี 3:20-21)
"พระบุตรทรงเป็นรังสีแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ทรงเป็นภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์ขององค์พระเจ้า" (ฮีบรู 1:3)
"เพราะเหตุว่าเราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการทดลองทุกอย่างเหมือนกับเรายกเว้นบาป" (ฮีบรู 4:15)

ปัจฉิมลิขิต: อาณาจักรพระเจ้าจงมาถึง (Your Kingdom Come)

l ที่ใดมีความเกลียดชัง ขอให้มีความรัก
l ที่ใดมีสงคราม ขอให้มีความสันติ
l ที่ใดมีความสกปรก ขอให้มีความสะอาดผุดผ่อง
l ที่ใดมีความใคร่ทางเพศ ขอให้มีความบริสุทธิ์ ความสำรวมกาย
l ที่ใดมีความรุนแรงใช้กำลัง ขอให้มีความอ่อนโยน
l ที่ใดมีการผูกใจเจ็บ อาฆาตแค้น ขอให้มีการอภัย
l ที่ใดมีความมั่งมี ร่ำรวย ขอให้มีกิจกุศล
l ที่ใดมีความยากจน ขอให้มีการยอมรับสภาพ ด้วยความ ยินดีอย่างมีศักดิ์ศรี
l ที่ใดมีการข่มขู่คุกคาม ขอให้มีความสงบ
l ที่ใดมีความกลัวตาย ขอให้มีความเชื่อ
l ที่ใดมีการดิ้นรน ขอให้มีความหวัง
l ที่ใดมีบาป ขอให้มีพระหรรษทาน
l ที่ใดมีความไม่เต็มใจ ขอให้มีความร้อนรน
l ที่ใดมีความเห็นแก่ตัว ขอให้มีความเต็มใจในการให้
l ที่ใดมีการคิดคำนวณก่อน ขอให้มีความใจดีโอบอ้อมอารี
l ที่ใดมีการไม่เชื่อในพระเจ้า ขอให้มีการนมัสการพระเจ้า
l ที่ใดมีความมืด ขอให้มีความสว่าง
l ที่ใดมีความลามก ขอให้มีพรหมจรรย์
l ที่ใดมีการปล่อยตัวลดต่ำลง ขอให้มีความเข้มแข็งแห่งจิตใจ
l ที่ใดเยาวชนปฏิวัติ ขอให้เขากลับเป็นผู้มีเหตุผลยอมรับฟัง
l ที่ใดบิดาเป็นผู้ไม่สมควร ขอให้เขากลับมาเป็นลูกศิษย์พระองค์
l ที่ใดมีความเศร้าหมอง ขอให้มีความชื่นชมยินดี
l ที่ใดมีความว่างเปล่า ขอให้มีการเติมให้เต็ม
l ที่ใดมีความตาย ขอให้กลับมีชีวิต
l ที่ใดมีการเอารัดเอาเปรียบ ขอให้มีความยุติธรรม
l ที่ใดมีการขโมย ขอให้มีการแบ่งปัน
l ที่ใดมีความหยิ่งจองหอง ขอให้มีความสุภาพ
l ที่ใดมีอำนาจ ขอให้มีความเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน
l ที่ใดมีชุมชนถูกกดขี่ไร้ศักดิ์ศรีมนุษย์ ขอให้ชุมชนนั้นอบอวลด้วยจิตตารมณ์ (แห่งพระคริสต์)
l ที่ใดมีการรังเกียจผิว ขอให้มีความรักแบบคริสตชน
l พระอาณาจักรพระเจ้า จงมาถึง

บทภาวนาของภราดาคาร์โล คอเรตโต
จาก The Desert Journal from God's Name is love

(Upload 25-11-05)


<= Previous || Go Top || Next =>
Back to Home Page