สาระเซอร์ร่า

(9)
เรื่องราวของพระเยซูแบบไทยไทย
(Thai Stories of Jesus)

คอนที่ 2

พอล แมรี่ สุวิช สุวรุจิพร


จ. เป็นการภาวนาในสวนเกทเสมานีอีกครั้ง เพื่อให้ถ้วยแห่งการร้องไห้และความทุกข์ ทรมาน ความรุนแรง และสงครามของเอเซียถูกยกไป

+ ……..”พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ โปรดทรงนำถ้วยนี้ไปจาก ข้าพเจ้าเถิด แต่อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ ของพระองค์เถิด”........ (ลูกา 22:42)

o ทวีปเอเซียเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุด และเป็นทวีปที่มีประชากรมากที่สุดด้วย ถึงสองในสามของโลก จึงเป็นทวีปที่มีประเด็นท้าทายมากที่สุดในโลกทุกด้าน:

? ด้านเศรษฐศาสตร์ : ฐานะความเป็นอยู่ของประชากร เอเซียเฉลี่ยตกต่ำมาก ความยากจนกระจาย ทั่วไป มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและ คนจน ฯลฯ

? ด้านมานุษยศาสตร์/ สังคมศาสตร์ : ประวัติศาสตร์ของทวีปเอเซียยาวนาน ชนชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ มีมากมาย หลากหลายด้วยประเพณี วัฒนธรรม ที่ฝังรากลึกในชาติพันธุ์ของตน จึงมีความตึงเครียดในการอยู่ด้วยกัน มีความกดดันในการปกครอง การเมือง อันเป็นผลให้เกิดความรุนแรง การต่อสู้ สงครามระหว่างชนเผ่า/ ประเทศต่างๆ ฯลฯ

เรื่องราวของพระเยซู (Jesus’s Story) ที่พระองค์ประสบด้วยพระองค์เอง ทั้งทางด้าน เศรษฐศาสตร์ (ความเป็นอยู่ของชาวอิสราเอลที่เหลื่อมล้ำกัน) ด้านมานุษยศาสตร์/ สังคมศาสตร์ (การแบ่งชั้นระหว่างชาวยิว ชาวซามารีตัน ระหว่างฟารีสี และ ชาวยิวทั่วไป การถูกโรมันปกครอง ฯลฯ) ก็ยังคงเกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ในทวีปเอเซีย และในประเทศไทย ด้วย

คาทอลิกชาวไทยจึงไม่อาจเลี่ยงการดื่มจากถ้วยกาลิกซ์ในสวนเกทมานีนี้ได้ ประเด็นของประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะความรุนแรงที่เกิดในต่างจังหวัด ตามชายแดนในภาคใต้เท่านั้น แต่รวมถึงสถานการณ์ในเมืองหลวงด้วย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่เราต้องเผชิญด้วยความกล้าหาญ

ฉ. เป็นการเดินทางของคริสตชนบนหนทางกัลวาริโออีกครั้งในความยากจน ในความเจ็บป่วย ในความสูญเสีย และความสิ้นเนื้อประดาตัวของชาวเอเซีย

+ ........ขณะที่บรรดาทหารนำพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมน ชาวไซรีนซึ่งกำลังกลับจากชนบท วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า .......(ลก. 23: 26)

o ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (modern history) ประเทศไทยและทวีปเอเซีย ได้รับบทเรียนแห่งชีวิตอันทรงคุณค่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ในรูปแบบของการลดค่าเงินบาทของประเทศไทย อันเป็นจุด เริ่มต้นของความหายนะทางด้านการเงิน ด้านเศรษฐกิจการคลังของประเทศไทย และอีกหลายๆ ประเทศในทวีปเอเซีย เหตุการณ์ด้านการเงิน/ เศรษฐกิจการคลังนี้ เป็นเพียงยอดปลายแหลมของภูเขาน้ำแข็ง (iceberg) ที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร เพราะหลังเหตุการณ์หายนะนี้แผ่กระจายไปทั่วเอเซีย จึงพบต้นเหตุสาเหตุของ ความล่มสลายครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากแนวทางการประกอบธุรกิจ วินัยด้านการเงิน การบริหารที่หละหลวม ไม่โปร่งใส แบบอะลุ่มอะล่วย ไม่ใช่แบบมืออาชีพ นับเป็น เวลานานหลายสิบปี เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในเอเซียจึงเปรียบเหมือนการพลิกพรม ปูพื้นออก แล้วทำการปัดกวาดพื้นห้องให้สะอาด เป็นการเริ่มต้นศักราชการประกอบธุรกิจใหม่แบบขาวสะอาด มีวินัยทางการเงินการธนาคาร เพื่อเป็นประกันมิให้ เหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความสิ้นเนื้อประดาตัวของชาวเอเซีย จึงเป็นการ เดินทางบนหนทางกัลวาริโอที่จำเป็นสำหรับชาวไทยและชาวเอเซีย......และหนทาง กัลวาริโอนี้ก็ยังอยู่ข้างหน้าเราอีกในขณะนี้ และเราคาทอลิกชาวไทย ก็ถูกเรียกให้ ร่วมแบกกางเขนนี้ทุกคน

ซ. เป็นการแบกกางเขนขึ้นเขาโกลโกธาอีกครั้ง เพื่อถูกตรึงกางเขนท่ามกลางความทุกข์ยาก การถูกกดขี่ ความเหลื่อมล้ำ ความโลภ ความอยุติธรรม ทั้งด้านสังคม และเศรษฐศาสตร์ของชีวิตชาวเอเซีย

+.........”ปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำไปตรึงกางเขน บรรดาทหารนำ พระเยซูเจ้าไปประหาร พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่ที่เรียก ว่า “เนินหัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน ที่นั่นพร้อมกับนักโทษอีกสองคน อยู่คนละข้าง พระเยซูเจ้าทรงอยู่ตรงกลาง” ....... (ยอห์น 19: 16-18)

o ในประเทศฟิลิปปินส์ วันศุกร์ศักดิ์สิทธ์ (Good Friday – วันพระตาย) จะมีคริสตชนคาทอลิกอาสาสมัครถูกตรึงกางเขนจริงๆ ทุกปี เป็นการพลีกรรม ส่วนตัวของคริสตชนคนนั้น นับว่าเป็นความกล้าหาญมากที่ยอมถูกตะปูตอก ตรึงบนกางเขน ในชีวิตจริงของชาวเอเซียของชาวไทย ก็คงมีหลายๆ ท่านที่ถูก ตรึงกางเขนเช่นเดียวกันนี้ ผิดกันตรงที่ว่า แทนที่จะถูกตรึงกางเขนเฉพาะวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์วันเดียว แต่นี่กลับถูกตอกตะปูตรึงกางเขนบ่อยๆ หลายๆ วัน หรือ ทุกวัน

สภาพเช่นนี้ ถ้าลองพิจารณาวิเคราะห์จากจำนวนประชากรของเอเซียที่มีถึง สี่พันล้านคน (ประมาณ 2/3 ของโลก) และเนื้อที่ของทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน ก็คงพอจะเข้าใจว่า ทำไมชาวเอเซียจึงต้องแบกกางเขนขึ้นเขาโกลโกธา บ่อยๆ หรือ ทุกวัน

เราเพียงหยิบประเด็นเรื่องจำนวนประชากรมาพิจารณาวิเคราะห์เพียงประเด็นเดียว ก็เห็นชัดว่า จำนวนคนมหาศาลนี้เป็นตัวทอน (denominator) ให้คุณภาพชีวิต (quality of life) ให้เจือจางลง ความยากจน ความทุกข์ยากของชีวิตจึงกระจายไปทุกชุมชน ยังผลด้านลบในความประพฤติของคน เกิดการกดขี่ข่มเหง ใช้ความรุนแรงถึงกับต่อสู้กัน เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เสมอภาคกัน ไม่ยุติธรรม ผู้ที่มีแล้วอยากมีเพิ่มอีก ผู้ที่ยังไม่มีหรือมีไม่พอ ก็พยายามแสวงหามา เกิดความโลภไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักคำว่า “พอเพียง” นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ชาวเอเซียและชาวไทยต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ถ้าคาทอลิกไทย ไม่สามารถลดความโลภ ความเหลื่อมล้ำ ความอยุติธรรม ความทุกข์ยากของชีวิต กางเขนที่เราแบกขึ้นโกลโกธา ก็ยังคงหนักอึ้งอยู่ต่อไป ต่อเมื่อเราสามารถลดสภาพด้านลบเหล่านี้ลงได้ กางเขนของเราก็จะเบาลง

ซ. เป็นการเดินตามเส้นทางแห่งการกลับเป็นขึ้นมา (Resurrection) ของเอเซียเพื่อแสวงหา “วิธีการใหม่ และที่น่าอัศจรรย์ใจที่จะเผยพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์สู่ชาวเอเซีย” (EA 20)

+ ……“พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับบูนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเราและบอก เขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้า พระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัส กับนาง” (ยอห์น 20: 15-18)

o เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) ได้เกิดภัยธรรมชาติ สึนามิเป็นครั้งแรกในเขตทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ยังผลให้เกิดความ เสียหายมากมาย รวมทั้งผู้คนสิ้นชีวิตไปกว่าสามแสนคน เป็นเหตุการณ์ที่น่า เศร้ามาก แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปไม่กี่วัน อีกด้านหนึ่งของเหรียญเดียว กันนี้ ก็เริ่มเผยโฉมออกมาในรูปแบบของความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจของชาวไทย ชาวเอเซีย และชาวโลก ที่ต่างส่งความช่วยเหลือมาให้แก่ผู้ประสบภัย แก่ครอบครัวที่สมาชิกสิ้นชีวิต แก่ชุมชน หมู่บ้าน จังหวัด ประเทศที่ถูกภัย-ภิบัตินี้รวมทั้งประเทศไทยด้วย

สภาพที่ตามมานี้ เป็นเครื่องแสดงถึง “การกลับเป็นขึ้นมา” (resurrection) ของตัวบุคคล (ที่ยังรอดชีวิต) ของเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ประสบภัย ที่อาสามาช่วยเหลือ ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนที่ระดมพลมายังท้องถิ่นที่ประสบภัย ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ จากผู้ที่อยู่ห่างไกล อยู่ต่างประเทศ ฯลฯ เป็น “การกลับคืนชีพ” (Resurrection) ของพระเยซูในเหตุการณ์นั้นๆ ในสถานที่นั้นๆ

แต่เราไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์สึนามิอีกครั้งเพื่อจะได้มีโอกาสแสดง จิตเมตตาอารี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปันนี้อีกครั้งในชีวิตประจำวันของเราชาวไทย ชาวเอเซีย เรามีโอกาสมากมายในหลายเหตุการณ์ หลายสถานการณ์ หลายๆ วันที่จะยืนขึ้น ที่จะแสดงตัว ที่จะอาสาสมัคร ที่จะทุ่มตัวในการ “เผยพระพักตร์พระเยซูคริสต์” สู่เพื่อนมนุษย์ชาวไทย/ ชาวเอเซียของเรา

เราคริสตชนไทยจึงควรเฝ้ามอง ฉวยโอกาสอันควรนี้ที่จะ “กลับเป็นขึ้นมา” ใหม่เสมอๆ ในชีวิตประจำวันของเรา

ฌ. เป็นการเดินทางสู่เอมาอุสอีกครั้ง เพื่อพบความหวัง ความยุติธรรมและสันติ เพื่อรับอาหารวิญญาณ และชีวิตนิรันดรของชาวเอเซีย

+ ......“วันนั้นศิษย์สองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจาก กรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ที่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วม เดินทางด้วย แต่เขาจำพระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง.......ขณะประทับที่โต๊ะ กับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและยื่นให้เขา เขาก็ ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา” (ลก. 24: 13-16, 30-31)

o ในชีวิตประจำวันของชาวไทยนั้น คงไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “ผม/ฉัน เห็น เหตุการณ์ชีวิต ขาว/ดำ อย่างชัดแจ้ง” เสมอๆ เชื่อว่าส่วนใหญ่คงตอบเป็น เสียงเดียวกันว่า “ชีวิต ผม/ฉัน มักเป็นสีเทาเสมอ ยากนักที่จะตัดสินใจได้ อย่างถูกต้องว่า ควรทำอะไร ควรละเว้นอะไร?” ชีวิตของคาทอลิกไทยจึงเป็น ชีวิตที่เดินบนหนทางสู่เอมาอุสตลอดเวลา

แต่เรามี “ตัวช่วย” อย่างเช่นศิษย์สองท่านนั้น.....ด้วยพระพรพิเศษนี้ พระองค์ทรงมอบให้เรามี “ศีลมหาสนิท” อยู่กับเรา และเช่นเดียวกับศิษย์สอง ท่านนั้นที่จำพระองค์ได้ขณะ “หักปัง” เราก็เช่นกัน ในชีวิตของเราในโลก ปัจจุบัน เราจึงควรร่วมพิธี “หักปัง” (มิสซาขอบพระคุณ) เสมอๆ ตามที่พระองค์ได้สั่งไว้ว่า “จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” (ลก. 22:19) เพื่อเราจะจำพระองค์ได้ในบุคคลอื่นที่เราพบ ที่เราติดต่อ ที่เราทำงานด้วย เป็นการมอบความหวังแก่เพื่อนชาวไทยด้วยกัน เป็นการสร้างสันติ ความสงบสุขและยุติธรรมแก่สังคมไทย ขณะที่เราก็ได้รับอาหารวิญญาณเพื่อชีวิตนิรันดรของเราไปในตัวด้วย

ญ. เป็นการยืนหยัดรับลมแห่งพระจิตเจ้าในวันเปนเตกอสเตแห่งเอเซีย ประกาศความเชื่อ สู่เพื่อนชาวเอเซีย

+ .. ...“เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น แยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ....... .เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด” แต่ละคน จงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า ....... คนเหล่านั้นรับถ้อยคำของเปโตร และได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน” (กิจการ 2:1-4, 38, 41)

o เคยได้ยินเรื่องเล่าว่า ถ้าหากโมเสสจะนำชาวอิสราเอลอพยพออก จากอียิปต์ และมุ่งทิศตะวันออกตรงๆ แทนการเลี้ยวลงทิศใต้ ก็จะไปพบบ่อน้ำมันดิบ ในประเทศอาหรับปัจจุบันนี้ แทนที่จะหลงในทะเลทรายสี่สิบปี......และเรื่องเล่าอีกเรื่อง หนึ่งก็บอกว่า ถ้าหากบรรดาอัครสาวกส่วนใหญ่มุ่งทางทิศตะวันออก ชาวเอเซียก็คง เป็นคริสตชนมากกว่านี้ และเป็นเร็วกว่านี้นับหลายๆ ร้อยป ี........ แต่นั่นเป็นเรื่องเล่าที่มีคำ ว่า “ถ้า” ซึ่งไม่เป็นจริง........

...... ความจริง เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คือ ทวีปเอเซียมีประชากร โลกถึงสองในสาม แต่มีคาทอลิกเพียง 100 กว่าล้านคนเท่านั้น ประมาณ 3% ของประชากรเอเซีย และเพียง 10% ของจำนวนคาทอลิกทั่วโลก และสำหรับ ประเทศไทยมีเพียงสามแสนคน เป็นจำนวนครึ่งเปอร์เซ็นต์ของชาวไทยทั้ง ประเทศ ซึ่งนับว่าน้อยมาก

........แต่เหตุการณ์ วันพระจิตเสด็จมายังคงเกิดขึ้นในทวีปเอเซียใน ประเทศไทยได้ ความจริงด้วยความเชื่อ พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่กับเราคาทอลิก ชาวไทยตลอดเวลา ความจริงพระองค์ (พระจิตเจ้า) ก็ทรงประทับอยู่กับมนุษย์ ทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เชื้อชาติใด สัญชาติใด ศาสนาใดก็ตาม พระองค์เป็น ผู้ที่ทำให้โลกมนุษย์ยังคงดำรงอยู่ได้บนโลกนี้พร้อมกับความเจริญ การพัฒนา ความก้าวหน้าต่างๆ เพราะเหตุนี้ “เวลาเปนเตกอสเต” ยังเกิดอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่ที่เราคาทอลิกไทยจะมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวดีหรือไม่? อย่างไร? ทุกวันนี้ พระเยซูคริสต์ยังทรงประกาศข่าวดีอยู่ แต่ “ผ่านเราคาทอลิกไทยทุกคน” เราคาทอลิกไทยประกาศข่าวดีด้วยการดำเนินชีวิตคาทอลิกอย่างดี เป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งเป็นเครื่องประกาศดังยิ่งกว่าการใช้ปากใช้เสียงเสียอีก ด้วยส่วนร่วมของเราในการ แพร่ธรรม ด้วยสมาชิกภาพในองค์กรฆราวาสแพร่ธรรมคณะต่างๆ ตามความถนัดของตน:-

ข้อ AA 1. การแพร่ธรรมของฆราวาส

? จึงหันมาหาคริสตชนฆราวาสอย่างตั้งจิตตั้งใจ.....แท้ที่จริงการ แพร่ธรรมของฆราวาสนั้นจะไม่มีวันเกิดขาดแคลนขึ้นในพระศาสนจักร ..... สมัยของเรานี้เรียกร้องให้ฆราวาสมีใจเร่าร้อนไม่ น้อยกว่าก่อนเลย ตรงกันข้าม สภาพแวดล้อมในปัจจุบันกลับ เร่งเร้าฆราวาสให้ทำการแพร่ธรรมอย่างเข้มข้นและกว้างขวาง ยิ่งขึ้นทุกที ด้วยว่าการที่ประชาชนพลเมืองเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทุกขณะก็ดี การที่วิทยาศาสตร์และวิชาการต่างก้าวรุดหน้าไป ก็ดี การที่มนุษย์ช่วยเหลือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นก็ดี เหล่านี้มิใช่ แต่ขยายอาณาเขตการแพร่ธรรม (ซึ่งโดยมากเฉพาะฆราวาสเข้า ไปได้) ให้กว้างออกไปอย่างไม่มีขอบเขตเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิด ปัญหาใหม่ๆ ซึ่งเรียกร้องให้ฆราวาสตื่นเฝ้าระวังและตั้งใจเป็น พิเศษอีกด้วย

ข้อ AA 2. กระแสเรียกของฆราวาสในการแพร่ธรรม

? .......แท้จริง การเรียกใครผู้หนึ่งให้มาเป็นคริสตชน ก็ถือว่าเป็นการ เรียกผู้นั้นให้มาแพร่ธรรมนั่นเอง.....ในพระศาสนจักร มีศาสนบริการ หลายอย่างต่างกัน แต่มีภารกิจอันเดียวเท่านั้น แต่ฆราวาสที่ร่วมมี ส่วนในตำแหน่งสงฆ์ ตำแหน่งประกาศก และตำแหน่งกษัตริย์ของ พระคริสตเจ้า ก็ย่อมมีส่วนร่วมกับภารกิจแห่งประชากรทั้งมวลของ พระเป็นเจ้าในพระศาสนจักรและในโลก ฆราวาสทำการแพร่ธรรม อย่างแท้จริง เมื่ออุทิศตนให้แก่การประกาศข่าวดีและทำให้มนุษย์ ศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ก็ถือว่าเขาทำการแพร่ธรรมเช่นเดียวกัน เมื่อพยายาม ที่จะเข้าไปในวงการฝ่ายโลกและพยายามที่จะให้วงการนั้นเจริญก้าวหน้า ด้วยจิตตารมณ์แห่งพระวรสาร

ข้อ AA 7. การฟื้นฟูการทางคติโลกตามแบบคริสตชน

? แผนการที่พระเป็นเจ้าทรงคิดไว้สำหรับโลก มีดังนี้ คือ ให้มนุษย์ พร้อมใจกันฟื้นฟูการทางฝ่ายโลกให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นการคติโลกนั้น คือสิ่งที่มีค่าต่างๆ ใน ชีวิตและในครอบครัว วัฒนธรรม การเศรษฐกิจ วิชา และ อาชีพ สถาบันในประชาคมการเมือง การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสิ่งอื่นๆ ทำนองนี้ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าของสิ่งเหล่านั้น ..... ทั้งหมดนี้มิใช่แต่ช่วยให้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองด้วย ซึ่งคุณค่านั้นพระเป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะพิจารณามันแต่ละอันหรือถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลฝ่ายโลกทั้งหมด

(AA = Apostolicam Actuositatem พระสมณกฤษฏีกาแห่งสภาสังคายนา ว่าด้วย การแพร่ธรรมของฆราวาส)

* * * * * * * * * * * * * * * *

เรายังมีเรื่องราว (stories) อีกหลายเรื่อง ทั้งในแบบไทยๆ (Thai Stories) ที่ใกล้ตัวเรา ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ที่เกิดขึ้นกับ-เราในชีวิตประจำวัน ที่แบ่งปันมานี้ 10 เรื่อง (ข้อความที่เริ่มต้นด้วยวงกลม) เป็นอุทธาหรณ์ตัวอย่าง (models) เพียงสิบเรื่องเท่านั้น เชื่อแน่ว่าพวกเราคริสตชนยังมีเรื่องราวจริงๆและเป็นเอกลักษณ์กับตนเองอีกมากมาย

สิบเรื่องราวของไทยนี้ (Thai Stories) สืบเนื่องสัมพันธ์กับสาระของเรื่องราวของเอเซีย (Asian Stories) ที่พิมพ์เป็นหัวข้อตีเส้นใต้ ทั้งสิบหัวข้อ ( ก. ถึง ญ.) ที่ยกขึ้นมาเป็นประเด็น ท้าทาย การเสวนา การริเริ่มศาสนสัมพันธ์ (inter-religious dialogue) กับเพื่อนๆ ชาวเอเซีย และชาวไทยด้วย ผู้ซึ่งส่วนใหญ่ ไม่ใช่คริสตชน (non-Christians) แต่เชื่อแน่ว่า เพื่อนๆ ของเรานี้เป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตที่ดี มีเมตตาจิต อารี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ต่อเพื่อนมนุษย์ มีศีลธรรม ปฏิบัติธรรมตามความเชื่อของตนด้วยดี ด้วยใจบริสุทธิ์ ซึ่งเราคริสตชนมีชื่อให้เขาอีกชื่อหนึ่งคือ “ผู้ที่เป็นคริสตชนโดยไม่รู้ตัว” (anonymous Christians) ตามคำของ คุณพ่อคาร์ล ราห์เนอร์ สงฆ์คณะเยซูอิต ผู้เป็นนักเทววิทยา ที่มีชื่อเสียง กล่าวอธิบายในปี ค.ศ. 1960 ไว้ว่า:-

ผู้ที่เป็นคริสตชนที่ไม่รู้ตัว (Anonymous Christians) คือผู้ที่รับพระพร ของพระเจ้าที่ยังผลให้เขากระทำกิจกรรมแห่งความรัก ความจริงและ ความดี กิจกรรมเหล่านี้ล้วนอยู่บนพื้นฐานของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์ ความรัก และผู้ที่ปฏิบัติตนเช่นนี้ก็คือผู้ที่รับพระเจ้าเอง และการยอมรับ เพื่อกระทำเช่นนี้เองเกิดขึ้นในการดิ้นรนในชีวิตประจำวัน เพื่อเข้าถึงความ ลึกล้ำแห่งชีวิตที่คำนวณไม่ได้ ที่คาดการณ์ไม่ได้ และที่หยั่งรู้ไม่ได้ และเนื่อง จากความรอดของมนุษยชาติได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โดยทางองค์พระคริสต ผู้ที่ปฏิบัติตนตามคุณธรรมความดีงามตามความเชื่อเยี่ยงพระคริสต์จึงถูกเรียก ว่าเป็น “คริสตชนที่ไม่รู้ตัว”

ในปี ค.ศ.1983 คุณพ่อคาร์ล ราห์เนอร์ เอส.เจ. ได้อธิบายเสริมเพิ่มเติมไว้ว่า:-

ถ้าท่านมิได้ประสบพบพระเจ้าในกระบวนการประวัติศาสตร์ความรอด นั่นคือรู้จักพระเยซูคริสต์และพระศาสนจักรคาทอลิกโดยตรง ท่านก็ยังสามารถเอาวิญญาณรอดได้โดยซื่อสัตย์ต่อเสียงมโนธรรมของตน ตามความเชื่อที่บริสุทธิ์ ใจของตน ถึงแม้อาจจะเป็นความเชื่อที่ไม่ลึกซึ้งนัก ความรอดของท่านเป็นความ รอดนอกพระศาสนจักร แต่เมื่อใดที่ท่านเริ่มตระหนักกับตัวท่านว่า การยอมรับ องค์พระเยซูคริสต์เป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้าเที่ยงแท้ที่สำคัญจำเป็นที่สุด ท่านก็ ไม่สามารถพูดกับตัวเองได้ว่า คริสตศาสนาไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันจะแสวงหาความรอด ทางอื่น..... .ผู้ที่ได้พบประสบพระคริสต์ ผู้ถูกตรึงกางเขนและกลับฟื้นคืนชีพต้องยอมรับ พระองค์ด้วย เพื่อรับความรอด แม้จะเป็นความรอดเดียวกันที่ “คริสตชนที่ไม่รู้ตัว” ได้รับโดยบริสุทธิ์ใจในตอนแรกก็ตาม”

- จาก Re-assessing Rahner’s Idea of the “Anonymous Christians”
โดย คุณพ่อ Eamonn Conway: Louvain Studies

แต่เรื่องราวทั้ง 2 บริบทนี้ คือ แบบเอเซีย (Asian Stories) และ แบบไทยไทย (Thai Stories) ยืน ปักหลักพื้นฐานบน “เรื่องราวของพระเยซู” (Jesus’s Stories) ข้อความที่พิมพ์ในเครื่องหมายคำพูด (“.......”) ที่เริ่มต้นด้วย กากบาท – กางเขน (+) เรื่องราวของพระเยซูมีมากมายเหลือคณานับ:

- พระวรสารโดย นักบุญมาระโก บันทึกได้ 16 บท
- “ นักบุญมัทธิว “ 28 บท
- “ นักบุญลูกา “ 24 บท
- “ นักบุญยวง “ 21 บท
- กิจการอัครสาวก “ 28 บท

ในเรื่องราวของพระอาจารย์ (พระเยซู) มีข้อความจริง ข้อคำสอน ข้อเผยรหัสธรรมล้ำลึก ข้อตักเตือน การกระทำอัศจรรย์ การรักษาคนป่วย การไล่ปีศาจ การมอบชีวิตคืนให้กับผู้ตาย ฯลฯ แต่ที่สำคัญที่สุด พระองค์เผยพระบิดา พระเจ้า เที่ยงแท้ และพระตรีเอกภาพ (ซึ่งรวมพระองค์เองด้วย) แก่มนุษยชาติ

มีนักประวัติศาสตร์ถามว่า “ทำไมพระเยซูเจ้าจึงไม่บันทึกพระวรสารด้วยพระองค์เอง?” นักบุญ โทมัส อคิวนัส อธิบายไว้ 3 ประการดังนี้.-

1. องค์พระเยซูเจ้าใช้คำพูดในการสั่งสอนของพระองค์ พระองค์ต้องการพูดกับหัวใจของผู้ฟังพระองค์ ต้องการให้คำพูดของพระองค์เป็นที่เข้าใจสุดความหมายที่พระองค์ตั้งใจไว้กับผู้ฟัง (พระบิดาเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ทรงตรัสด้วย “พระวาจา” กับสิ่งสร้างของพระองค์) เพราะเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงไม่เขียน แต่ใช้อากัปกิริยาตามธรรมชาติในการสื่อความกับผู้คน เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้เชื่อ ได้เข้าถึงความหมายอันลึกซึ้งของชีวิตและความจริงของข้อคำสอนของพระองค์ (Gospel)

2. ข้อคำสอน ข้อความจริงต่างๆ ที่พระองค์เทศนาสั่งสอนนั้น ไม่สามารถใช้คำเขียนใดเลยที่จะเขียนบรรจุความหมายที่แท้จริงของพระองค์ได้อย่างซื่อสัตย์ พระวาจาของพระองค์ไม่สามารถถูกกำหนดด้วยตัวอักษรแต่อย่างเดียวด้วยความหมายตายตัวเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ..... อย่างที่บรรดาผู้ตีความตามตัวอักษร (fundamentalists) ได้ตีความหมายอย่างไม่ถูกต้อง

3. องค์พระเยซูคริสต์ ตั้งใจที่จะมอบพันธกิจแก่บรรดาอัครสาวกที่จะเผยแพร่ประกาศพระวรสารต่อไปด้วยคำพูด (viva voce) และด้วยตัวอักษร (พระวรสาร)

ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงเข้าใจได้ว่า ทำไมพระคัมภีร์ พระวรสาร คำสอนของพระองค์ จึงเป็นพระวาจาทรงชีวิต (living Scripture) เพราะถ้าเป็นคำเขียนแต่อย่างเดียว พระวาจาจะแข็งกระด้างเป็นก้อนหิน ไม่มีชีวิต แต่พระวาจาของพระองค์เป็นพระวาจาจริงๆ เป็นคำพูดที่ทรงชีวิตที่ถือปฏิบัติมาเป็นธรรมประเพณี (Tradition) ของพระศาสนจักร

เพราะเหตุนี้จึงเป็น “กระแสเรียก” (vocation) ของผู้ประพันธ์พระวรสารทั้งสี่ที่เป็นผู้บันทึก “ข่าวดี” นี้ให้แก่เรา ให้แก่โลก และ “กระแสเรียก” นี้ยังกำลังถูกมอบให้แก่เราคริสตชนทุกคนในทุกสมัยเพื่อบันทึกต่อไปด้วย เป็นพระวรสาร/ข่าวดีเฉพาะตัวของเราแต่ละคนที่ตัวเราเองเป็นผู้ประพันธ์/บันทึก “เรื่องราวของพระ-เยซู” (Jesus’s Stories) ในบริบทของชีวิตของเราเอง เป็นพระวรสารฉบับเอกลักษณ์เพิ่มเติมจากพระวรสารทั้งสี่ เป็นพระวรสารเฉพาะเจาะจงของชีวิตของเรา ของโลกรอบกาย/ใจ ของเรา ที่เอื้ออำนวยนำความรอดสู่เรา สู่ชุมชนของเรา เป็นพระวรสาร เป็นเรื่องราวข่าวดีที่เราสามารถบันทึก เล่าเรื่อง ราวอย่างไม่มีวันจบ จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตของเราบนโลกนี้

และนี่คือ “การแพร่ธรรม” (mission – evangelization) ที่เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่สิ้นสุด ด้วย “เรื่องราวของพระเยซูแบบไทยไทย” ที่เราจำต้องเล่า แบ่งปัน ประกาศ ด้วยชีวิตของเราเอง แก่ชาวไทยทุกคนตามคำพูดของนักบุญเปาโลที่กล่าวไว้ในตอนท้ายของบทกิจการอัครสาวกไว้ว่า:-

“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทราบเถิดว่า พระเจ้าทรงส่ง ความรอดพ้นที่ให้แก่คนต่างศาสนา และเขาจะรับฟัง” (กิจการ 28:28)

(กลับไปตอนแรก)

(Upload 28-02-2006)