สภาเซอร์ร่าประเทศไทย
Serra Council of Thailand

ย้อนประวัติศาสตร์ของคณะเซอร์ร่าในประเทศไทย (ตอนที่ 1)

ย้อนประวัติศาสตร์ของคณะเซอร์ร่าในประเทศไทย (ตอนที่ 2)

คุณพ่อยอแซฟ คาร์ร่า ผู้นำคณะเซอร์ร่ามาสู่ประเทศไทย
การจัดตั้งกลุ่มเซอร์ร่าในสังฆมณฑลทั้ง 10

ย้อนประวัติศาสตร์ของคณะเซอร์ร่าในประเทศไทย (ตอนที่ 1)
ผู้เขียน คุณพ่อสมศักดิ์ ธิราศักดิ์
จิตตาธิการองค์แรกในประเทศไทย

คำนำ

คุณปอลแมรี่ สุวิช สุวรุจิพร ประธานคณะเซอร์ร่าท่านแรกในประเทศไทย ได้ขอร้องให้พ่อเขียนประวัติของคณะเซอร์ร่าประเทศไทย โอกาสฉลองครบรอบ 25 ปีของคณะฯและโอกาสที่จะเป็นเจ้าภาพของการประชุมคณะเซอร์ร่าโลก ครั้งที่63 ซึ่งจะมีการฉลอง ระหว่างการประชุมสากล ช่วงวันที่ 23-26 มิถุนายน ค.ศ 2005 นี้

พ่อได้พยายามรื้อฟื้นเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งก็ลืมเรื่องต่างๆไปเป็นส่วนมาก เพราะไม่คิดว่าคณะฯจะได้มีโอกาสฉลองครบรอบ 25 ปี และพ่อจะได้มีโอกาสเล่าเรื่องประวัติของคณะฯให้แก่สมาชิกหรือคนอื่นๆได้ทราบ เนื่องจากพ่อไม่เคยวาดฝันถึงคณะฯว่าจะเป็นอย่างไร จะเจริญเติบโตขนาดไหน จะทำประโยชน์ให้แก่พระศาสนจักรมากน้อยเพียงใด ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม พ่อจะพยายามเล่าเรื่องต่างๆเท่าที่จะทำได้ ในบทบาทของพ่อ เพราะเมื่อเริ่มแรกของคณะฯ ก็ได้มีสมาชิกอื่นๆอีกหลายคนและยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาได้รู้เห็นและได้ดำเนินการพร้อมกับพ่อ จึงขอให้การเขียนของพ่อ เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่ง ที่บรรดาสมาชิกอื่นๆจะได้เพิ่มเติมส่วนที่พ่อมิได้เขียน หรือแก้ไขสิ่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ฯลฯเพื่อประวัติของคณะฯจะได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ขอบคุณพระเป็นเจ้าที่ได้ให้พ่อมีชีวิตอยู่ ได้เห็นความเจริญเติบโตของคณะฯจนถึงปัจจุบัน ทำให้พ่อกล้าเขียนและกล้ายืนยันอย่างมั่นใจว่า เบื้องหลังของการดำเนินการทั้งหมดของคณะฯ นับตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นแผนการของพระเป็นเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ได้ทรงเตรียม ทรงจัด ทรงวางแผน และทรงกระทำ ซึ่งพวกเราสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ในการเจริญโตของคณะฯ ตั้งแต่แรกจนปัจจุบัน: การมีสมาชิกถึง 300 - 400 คน อยู่ทุกสังฆมณทลของพระศาสนจักรในประเทศไทย การขยายคณะฯไปยังประเทศใกล้เคียง: ประเทศเมียนมาร์ บังคลาเทศ อินเดีย ฯลฯ... การที่สมาชิกได้รับการเลือกให้เป็นประธานคณะเซอร์ร่าสากลโลก การที่คณะฯได้เป็นเจ้าภาพในการประชุมคณะเซอร์ร่าสากลโลกครั้งที่ 63 ในประเทศไทย ปี ค.ศ. 2005 นี้ ฯลฯ

ดังนั้นการเขียนของพ่อ จึงเป็นการมองจากการเจริญเติบโตของคณะฯ ที่ได้เห็นพระเป็นเจ้าทรงเริ่มต้น ทรงดำเนินการและกระทำตามแผนการของพระองค์ โดยทรงจัดบุคคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ที่เหมาะสมกับกาลเวลา และสถานที่ จึงทำให้คณะฯได้เจริญเติบโตมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ขอให้ผู้อ่านประวัติของคณะฯ ได้พิจารณาและตัดสินว่า จากการเริ่มต้นของคนจำนวน 10 กว่าคนในอดีต ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับคณะฯ แต่ทุกคนก็สามารถทำงานจนคณะฯเติบโตอย่างขนาดนี้ จะเป็นฝีมือของมนุษย์หรือ และอีกประการหนึ่ง อยากให้สมาชิกเซอร์ร่าทุกคนได้เห็นและได้เกิดความภาคภูมิใจในเกียรติที่พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียก เลือก และทรงใช้แต่ละคนให้ทำงานของพระองค์ จะได้เกิดความสำนึกที่จะเขียนประวัติศาสตร์ของคณะเซอร์ร่า ด้วยชีวิตและด้วยกิจการที่ดี จะได้ทำให้แผนการของพระเป็นเจ้าสำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์

พ่อจึงขอเล่าเรื่องของพ่อเป็น ”การย้อนประวัติศาสตร์ของคณะเซอร์ร่าในประเทศไทยตามแผนการของพระเป็นเจ้า”

ประวัติเริ่มก่อตั้งคณะฯ

คุณพ่อกลาร่า มิสชันนารีคณะเมรี่โนลด์จากฮ่องกง ได้มาประเทศไทยพร้อมกับสมาชิกเซอร์ร่า ประมาณ 6 - 7 คน ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ 1980 หลายคนในกลุ่มนั้น เป็นสมาชิกของคณะวินเซนต์ เดอ ปอลที่ฮ่องกง ได้รู้จักคุณยูลีอูส มสาร วงศ์ภักดี ประธานคณะวินเซนต์ เดอ ปอล แห่งประเทศไทย

พวกเขาได้ติดต่อคุณมสาร แจ้งความประสงค์ที่จะนำคณะเซอร์ร่ามาเปิดในประเทศไทย คุณมสารจึงได้นำคุณพ่อและคณะเข้าพบพระคาร์ดินัล มีชัย กิจบุญชู พระอัครสังฆราชแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เรียนวัตถุประสงค์ และขออนุญาตนำคณะเซอร์ร่ามาเปิดในประทศไทย พร้อมทั้งขอคำแนะนำจากพระคุณเจ้าด้วย 

พระคุณเจ้าได้แนะนำคุณพ่อและคณะให้ไปหาคุณพ่อคณะเยสุอิตทื่บ้านเซเวียร์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซี่งน่าจะสามารถช่วยคุณพ่อและคณะในการเปิดคณะเซอร์ร่าได้ เนื่องจากคุณพ่อคณะฯนี้ทำงานกับนิสิตนักศึกษาและมีกลุ่มนิสิตนักศึกษาหลายกลุ่มหลายคณะ  คงจะมีประสบการณ์ในการตั้งคณะใหม่ๆด้วย ฯลฯ

คุณมสารจึงพาคุณพ่อกลาร่าและคณะไปหาคุณพ่อคณะเยซูอิต  เล่าถึงความประสงค์ที่จะตั้งคณะเซอร์ร่าในประเทศไทย และพระคุณเจ้าฯ ได้เสนอแนะให้มาติดต่อกับคุณพ่อคณะเยซูอิต แต่คุณพ่อคณะเยซูอิตก็ปฎิเสธ  เนื่องจากคณะคณะเยซูอิต มีสมาชิกน้อย มีงาน มีหน้าที่รับผิดชอบมาก  และยังมีกลุ่มคริสตชนหลายคณะ/กลุ่ม ที่ต้องดูแลและรับผิดชอบ  จึงขอให้คุณพ่อคลาร่าและคณะไปหาคุณพ่อคณะอื่น ที่มีเวลา และสามารถช่วยคุณพ่อได้

คุณมสารจึงได้พาคุณพ่อกลาร่าและคณะไปหาคุณพ่ออีกหลายองค์และหลายคณะฯที่คิดว่า จะสามารถช่วยคุณพ่อและคณะได้ แต่คุณพ่อทุกองค์ต่างก็ปฎิเสธในทำนองเดียวกัน จนทำให้คุณมสาร คุณพ่อกลาร่า และคณะท้อใจ ไม่ทราบจะไปหาผู้ใด

ที่สุดคุณมสารจึงได้พาคุณพ่อกลาร่าและคณะพบคุณพ่อสมศักดิ์ที่ “วัดอิมแมร์คิวเลต คอนเซ็ปชัญ” หรือ “วัดแม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล“ หรือเรียกกันสั้นๆว่า “วัดคอนเซ็ปชัญ” อยู่ในซอยมิตตคาม สามเสน กรุงเทพฯนั่นเอง

คุณมสารได้พาคุณพ่อกลาร่าและคณะไปคำนับคุณพ่อเจ้าอาวาส(คุณพ่อสมศักดิ์)ตามธรรมเนียม เวลานั้นเป็นพ่อเอง คุณพ่อกลาร่าได้เล่าถึงวัตถุประสงค์ในการมาประเทศไทยให้พ่อฟัง ซึ่งพ่อก็เพียงแต่รับฟังเท่านั้น เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง

หลังจากที่คุณมสารได้พาคุณพ่อกลาร่าและคณะกลับไปแล้ว พ่อก็ไม่ได้ติดใจและคิดถึงเรื่องนี้อีก จนกระทั่งถึงวันฉลองนักบุญยอแซฟ ภัสดาของพระนางพรหมจารีมารีย์ องค์อุปถัมภ์ของมิสซังและองค์อุปถัมภ์ของพ่อด้วย ซึ่งพ่อไม่ทราบว่าสภาวัด ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า”สภาอภิบาลวัด” จะจัดอะไรให้แก่พ่อบ้าง เพราะพ่อเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงปี ฯลฯ

เวลานั้นคุณมสารเป็นประธานสภาวัด เวลานี้เรียกว่า “ผู้อำนวยการสภาอภิบาลของวัด” ท่านได้ปรึกษาและตกลงกับสภาฯ ที่จะทำ “เซอร์ไพร้ส์”ให้แก่พ่อ พวกเขาปิดบังพ่อและปิดบังทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รู้ เพื่อเรื่องจะได้ไม่แพร่งพราย และจะได้ไม่ทำให้เรื่องแตก ยิ่งกว่านั้นคุณมสารเองยังพยายามที่จะไม่ให้พ่ออยู่ที่วัดในวันนั้น โดยให้คนไปเชิญพ่อ ให้ไปส่งศีลเสบียงให้แก่คนป่วย ที่อยู่ห่างไกลจากวัด

คุณมสารทำเป็นไม่รู้ ถามพ่อถึงตารางเวลาของพ่อในวันนั้น เมื่อทราบว่า พ่อจะต้องไปส่งศีลเสบียงให้แก่คนป่วยที่อยู่ไกล ท่านก็เสนอตัวที่จะขับรถบริการให้พ่อ ซึ่งท่านไม่เคยที่จะปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน และพ่อก็ไม่ทราบกลอุบายของท่าน ยอมตกลง รับความปรารถนาดีให้ท่านขับรถไปส่งศีลฯให้แก่คนป่วย แต่เมื่อพ่อกลับวัด พ่อก็ได้เห็นซุ้มอาหาร จัดไว้ภายในบริเวณโรงเรียนหลายซุ้ม มีชื่อของกลุ่ม และคณะต่างๆของกิจการของวัด พร้อมทั้งรายชื่อของอาหารด้วย พ่อจึงเข้าใจถึงการเสนอตัวบริการของคุณมสาร ว่าท่านกลัว พ่อจะไม่อยู่วัด หรือไม่ยอมให้สภาวัดจัดฉลองศาสนนามให้แก่พ่อ ฯลฯ 

เมื่อได้ทำการสมโภชนักบุญยอแซฟอย่างสง่าในวัดแล้ว คุณมสารก็ได้พาพ่อและคณะกรรมการสภาวัดเข้าไปในงาน ที่นั้นพ่อได้พบคุณพ่อกลาร่าและคณะ แล้วการฉลองศาสนนามก็ได้เริ่ม มีเจ้าหน้าที่สภาวัด ผู้แทนคณะและกลุ่มต่างๆมาคล้องพวงมาลัยต้อนรับ มีการอ่านสุนทรพจน์ รำอวยพร ร้องเพลงอวยพร ฯลฯ ซึ่งสภาวัดได้จัดหาการแสดงจากหลายโรงเรียนละหลายรายการ  ฯลฯ ทุกคนสนุกสนาน รื่นเริงและเป็นกันเอง ใครใคร่ร้อง ร้อง ใครใคร่เต้น เต้น ใครใคร่ทาน ทาน ฯลฯ มีอาหารหลากหลายชนิดไว้สำหรับบริการ ซึ่งทุกคนสามารถไปเลือกและปรุงได้ตามใจชอบ ฯลฯ

คุณพ่อกลาร่าและคณะไม่เคยเห็นงานเช่นนี้ในฮ่องกง และไม่มีจัดฉลองศาสนนามให้แก่คุณพ่อเจ้าวัดเช่นนี้ที่ฮ่องกง ทำให้คุณพ่อแปลกใจและพิศวงในความรัก ที่บรรดาสัตบุรุษที่เมืองไทย ได้แสดงต่อคุณพ่อเจ้าวัดของตนเช่นนี้ ทำให้คุณพ่อและสมาชิกคณะพลอยมีความสุขใจและสนุกสนานในการร่วมรับประทานอาหารกับชาวบ้านจนดึก จึงได้ลากลับ

ทานอาหารค่ำกับคุณพ่อกลาร่าและคณะ

คุณพ่อกลาร่าและคณะได้เห็นพ่อมีคนรักและรู้จักเป็นจำนวนมาก คุณพ่อกลาร่าจึงมีความหวัง คิดว่าพ่อสามารถที่จะจัดหาคน 20-30 คน ให้คุณพ่อได้พบและได้พูด ฯลฯ คุณพ่อจึงได้นำความคิดนี้ บอกกับคุณมสาร ขอให้พ่อช่วยจัดหาคนให้คุณพ่อและคณะได้พบและได้พูดสักครั้ง

คุณมสารได้นำเรื่องนี้ไปบอกพ่อ ทำให้พ่อเข้าใจและรู้สึกสงสารคุณพ่อกลาร่าและคณะมาก ที่ได้สู้อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ด้วยความปรารถนาที่จะนำสิ่งที่ดีมาให้ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจและให้ความร่วมมือ ทำให้พ่อคิดว่า ถ้าพ่อไม่ทำอะไรให้คุณพ่อกลาร่าและคณะบ้าง พ่อก็คงจะใจดำมิใช่น้อย

ดังนั้นพ่อจึงได้ปรึกษากับคุณมสารและสมาชิกสภาวัดที่จะช่วยคุณพ่อ โดยพ่อและทุกคนจะพยายามเชิญคนที่รู้จัก ที่สามารถพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ และเพื่อจะได้ทุกคนที่เชิญจะได้ไม่ปฏิเสธ จึงได้ใช้ชื่อพ่อเป็นผู้เชิญไปทานอาหารกับพ่อ ในวันอาทิตย์ที่จะถึง คือ 30 มีนาคม 1980 เวลา 18.00 น. แต่ถ้ามีคนถามว่า ไปทานอาหารในโอกาสอะไร ฯลฯ ก็ให้บอกว่า คุณพ่อกลาร่าและคณะมาจากฮ่องกง พวกเราจึงให้การต้อนรับ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจ เพราะเป็นประเพณีของคนไทยเรา ที่ใครมา เราก็จะให้การต้อนรับ ฯลฯ

พวกเรานัดพบกันที่ร้านอาหารเรือนแพ ร้านอาหารนี้ใหญ่พอสมควร อาหารอร่อย มีเจ้าของเป็นคาทอลิก ยินดีที่จะบริการพวกเราเป็นพิเศษ อยู่ไม่ไกลจากวัดและหมู่บ้านของพวกเรา ซึ่งทุกคนรู้จักดี

พวกเราได้ขอให้เจ้าของร้านจัดห้องพิเศษให้แก่พวกเรา พอสำหรับพวกเราสมาชิกสภาฯ ผู้ที่ได้รับเชิญ และคณะของคุณพ่อกลาร่า ก็คงจะประมาณ 40 คน ทุกคนดีใจที่ได้เป็นเจ้าภาพและให้การต้อนรับคุณพ่อและคณะ โดยสั่งอาหารที่อร่อย ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ที่คิดว่าคุณพ่อกลาร่าและคณะชอบ  รวมทั้งเครื่องดื่มด้วย ซึ่งพวกเราต่างก็ชอบที่จะดื่มกันอยู่แล้ว จึงทำให้งานของเราคึกครื้นและสนุกสนานในการสนทนากันมีอย่างรสมีชาติมากขึ้น

เมื่อทานอาหารเกือบอิ่มแล้ว พ่อก็ลุกขึ้นยืนพูดกับผู้รับเชิญถึงวัตถุประสงค์ของการเชิญ  แนะนำให้รู้จักกับคุณพ่อกลาร่า และขอเชิญคุณพ่อกล่าร่าได้แนะนำสมาชิกและพูดกับพวกเราถึงวัตถุประสงค์ที่คุณพ่อปรารถนาที่จะตั้ง “คณะเซอร์ร่า “ ซึ่งพวกเราทุกคนต่างก็สนใจ และตั้งใจฟัง จนเวลาดึกพอสมควร คุณพ่อจึงได้ขอให้พวกเราตั้งคณะเซอรร่าขึ้นในประเทศไทย

ทำให้พ่อคิดถึงบรรดาอัครสาวกของพระเยซูเจ้าเมื่อ 2000 ปีมาแล้ว เมื่อพระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกพวกท่านไปทานอาหารค่ำครั้งสุดท้ายกับพระองค์ พระองค์ได้ทรงล้างเท้าพวกเขา ได้ทรงตั้งศีลมหาสนิทและได้ทรงแต่งตั้งพวกท่านให้ทำงานของพระองค์ “จงทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึงเรา..... ” (1 คร 11:24-25 ) ฯลฯ ทุกองค์ต่างก็งงและไม่เข้าใจฉันใด การฟังคุณพ่อกลาร่าพูดถึงคณะเซอร์ร่าและมอบให้พวกเราไปตั้งนั้น พวกเราก็อยู่ในลักษณะงงเช่นเดียวกัน ทุกคนเงียบ ไม่มีเสียงคัดค้าน หรือแสดงอาการไม่พร้อม หรือไม่เอาแต่ประการใด ฯลฯ เชื่อว่าพระจิตเจ้าคงจะได้เสด็จลงมาเหนือทุกคน ที่พระองค์ได้ทรงคัดเลือกและนำมาในวันนั้น ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะตั้งคณะเซอร์ร่า โดยตกลงที่จะพบกันที่บ้านของพ่อในวันรุ่งขึ้นทันที 

รายชื่อของผู้ร่วมรับประทานอาหารค่ำและฟังบรรยายที่เรือนแพมีดังนี้ :

1. คุณยูลีอูส  มสาร วงศ์ภักดี
2.คุณพอลแมรี่ สุวิช สุวรุจิพร
3.คุณยอแซฟ ชนะ ธนสมบูรณ์
4.คุณยอแซฟ ไพโรจน์ โพธิไทร
5.คุณสเตฟาโน ชาญ พรมงคล
6..(..กรุณาดูรายชื่อที่บันทึกอยู่ในการประชุมแรกๆ)

การดำเนินการก่อตั้งคณะเซอร์ร่า

นับเป็นเรื่องแปลก ที่พวกเราเพียงแค่ไปทานอาหารเพียงครั้งเดียว ฟังคุณพ่อกลาร่าพูดประมาณหนึ่งชั่วโมง ..... พวกเราก็ได้ตกลงที่จะตั้งคณะเซอร์ร่าขึ้น .....

ย้อนประวัติศาสตร์ของคณะเซอร์ร่าในประเทศไทย (ตอนที่ 2)

Go Top
Back to Homepage